ผศ.นพ.ยิ่งยศ อวิหิงสานนท์ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โรค SLE (Systemic lupus erythematosus) หรือ โรคพุ่มพวง พบได้ทั้งเพศหญิงและชาย โดยเฉพาะคนวัยทำงานตั้งแต่อายุ
20-30 ปี สาเหตุมาจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเนื้อเยื่อของตนเอง
ทำให้เกิดอาการอักเสบ โดยเกิดขึ้นได้ในเนื้อเยื่อทุกระบบของร่างกาย ส่งผลให้เป็นไข้
ปวดตามข้อ ผมร่วง มีผื่นแพ้แสง ทั้งนี้ โรค SLE จะมีอาการไตอักเสบร่วมด้วยร้อยละ
50 ซึ่งถือว่าอันตราย เนื่องจากอาจเกิดภาวะไตวายและเสียชีวิต นอกจากนี้
จากการสำรวจล่าสุดในผู้ป่วย SLE ชาวเอเชีย พบว่า มีโอกาสเกิดการแทรกซ้อนจากไตอักเสบมากกว่าร้อยละ
70 ซึ่งอาจมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม
ผศ.นพ.ยิ่งยศกล่าวต่อไปว่า โรคไตอักเสบ โดยทั่วไปมีอาการบวมตามแขนขาและตัว
ความดันโลหิตสูง และหากอาการรุนแรงจะส่งผลให้เกิดไตวายและเสียชีวิตในที่สุด
ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันโรคดังกล่าวยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่หากสามารถตรวจวินิจฉัยได้รวดเร็วการรักษาผู้ป่วยจะง่ายขึ้น
เพราะอาการของโรคมีหลายระดับ การรักษาก็แตกต่างกันไป ล่าสุดทีมวิจัยทำการศึกษาเทคนิคการตรวจวินิจฉัยทางอณูชีวโมเลกุลต่อการเกิดโรคไตอักเสบ
จากการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงของยีนในกลุ่ม
Growth factor และ Chemokines เพื่อศึกษาการทำงานของยีนดังกล่าว เบื้องต้นพบว่ายีนกลุ่มนี้มีกลไกบางอย่างที่สำคัญต่อการเกิดภาวะไตอักเสบ
"ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างปัสสาวะในผู้ป่วยมาทำการศึกษาดูปริมาณของยีนกลุ่มดังกล่าว
แล้วนำมาเปรียบเทียบกับผู้ป่วยปกติ ซึ่งพบว่า ผลการตรวจมีความแม่นยำสูงถึงร้อยละ
80 โดยผู้ป่วยที่มีภาวะไตอักเสบจะมีปริมาณยีนในกลุ่มนี้มาก ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับยีนของผู้ป่วยปกติกลับไม่พบยีนกลุ่มนี้เลย"
ผศ.นพ.ยิ่งยศกล่าว
ผศ.นพ.ยิ่งยศกล่าวว่า การทดลองดังกล่าวเป็นเพียงเบื้องต้น
เนื่องจากทดลองในผู้ป่วย SLE เพียง 40 ราย จึงจำเป็นต้องมีการทดลองต่อไป
อย่างไรก็ตาม นอกจากเทคนิคดังกล่าวจะสามารถตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย SLE ว่ามีภาวะไตอักเสบหรือไม่ได้อย่างแม่นยำแล้ว
ยังช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัว เมื่อเทียบกับวิธีการตรวจวินิจฉัยปัจจุบัน
คือ การเจาะไตและนำเนื้อไตมาตรวจพยาธิสภาพ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัวและอาจได้รับอันตรายได้
"การตรวจวินิจฉัยด้วยระบบอณูชีวโมเลกุล นอกจากจะได้ผลที่แม่นยำ
ยังช่วยให้แพทย์ทราบถึงระดับความรุนแรงของโรคและบ่งบอกถึงผลการตอบสนองของการรักษาได้
และแพทย์ยังสามารถปรับวิธีการรักษาและการให้ยาแก่ผู้ป่วยแต่ละรายได้อย่างเหมาะสม
โดยเฉพาะหากตรวจพบเร็ว การรักษาย่อมง่ายขึ้น" ผศ.นพ.ยิ่งยศกล่าว
|