ขออภัยมีข้อจำกัดในการแสดงผล
รูปเส้นประเกี่ยวกับกรมสรรพากรรูปเส้นประห้องข่าวรูปเส้นประบริการอิเล็กทรอนิกส์รูปเส้นประความรู้เรื่องภาษีรูปเส้นประบริการข้อมูลรูปเส้นประอ้างอิงรูปเส้นประRD Knowledge
รูปมุมซ้าย รูปมุมขวา
ค้นหาขั้นสูง
ความช่วยเหลือ
 
ประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ประกาศ/คำสั่ง คสช.
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติ ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลี่ยม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อหารือภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
คำพิพากษาฏีกา
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
กฎหมายออกใหม่
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
สรุปสิทธิประโยชน์กฎหมายภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
โครงการศึกษาและพัฒนาประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อมูลการพัฒนากฏหมายของกรมสรรพากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง


เลขที่หนังสือ

: กค 0811/00463

วันที่

: 15 มกราคม 2541

เรื่อง

: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่มีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ

ข้อกฎหมาย

: ประเด็นปัญหา

ข้อหารือ

: บริษัทฯ และบริษัทในเครือได้ดำเนินธุรกิจซื้อขายสินค้าและบริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีการกู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศ จึงมีเงินตรา ทรัพย์สินและหนี้สินที่มีมูลค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศคงเหลืออยู่ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี (31 ธันวาคม) ซึ่งต้องคำนวณเป็นมูลค่าเงินตราไทย ตามมาตรา 65 ทวิ (5) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ได้มีประกาศให้ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว (MANAGED FLOAT) ทำให้เกิดความผันผวนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรุนแรงและต่อเนื่องมาโดยตลอด จึงส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและวิธีการทางบัญชี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากเหตุดังกล่าว บริษัทฯ จึงดำเนินการดังนี้
      1. กรณีที่บริษัทฯ ทำสัญญาซื้อหรือขายสินค้าและบริการเป็นเงินตราต่างประเทศ บริษัทฯได้ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับธนาคาร ซึ่งกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทย (FORWARD RATE) แน่นอนตามสัญญานั้น
      2. กรณีที่บริษัทฯ ทำสัญญากู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเป็นเงินตราต่างประเทศและได้ทำสัญญาประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (SWAP) พร้อมกันในคราวเดียว ซึ่งกำหนดเป็นมูลค่าเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (FORWARD RATE) ไว้แน่นอนตามสัญญาแล้ว
    จากข้อเท็จจริงทั้ง 2 กรณี บริษัทฯ เห็นว่า
      1. เนื่องจากบริษัทฯ ได้ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า(FORWARD RATE) ไว้กับธนาคารแล้ว จึงไม่ควรมีผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีสำหรับยอดคงเหลือของทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าวที่เป็นเงินตราต่างประเทศเพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (5)ทั้งนี้เพราะบริษัทฯ ไม่ต้องรับผิดชอบในความเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนอีก ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ IAS ฉบับที่ 21 ที่ให้คำนวณค่าหรือราคาของเงินตราต่างประเทศที่มียอดคงเหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีด้วยอัตราปิด(CLOSING RATE) เช่นเดียวกับประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (5) เว้นเสียแต่ได้ทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (FORWARD RATE) ไว้ ความเห็นของบริษัทฯ ในกรณีดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
      2. กรณีที่บริษัทฯ ทำการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้ากับธนาคารสำหรับทรัพย์สินหรือหนี้สิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (EXCHANGE RISK) โดยใช้วิธีการบันทึกบัญชี HEDGE ACCOUNTING ตามมาตรฐานการบัญชีของ AICPA(SFSAS ฉบับที่ 52 เรื่อง FOREIGN CURRENCY กำหนดโดย FASB) ทั้งนี้ ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับดังกล่าวมีนัยสำคัญคือจะต้องบันทึกบัญชีธนาคารตามภาระผูกพันอัตราแลกเปลี่ยนเดียวกับในวันที่เกิดรายการ และบันทึกผลต่างระหว่างอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่เกิดรายการกับอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า เป็นกำไรหรือขาดทุนจากการทำสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราล่วงหน้า รวมทั้ง ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ถ้าทรัพย์สินหรือหนี้สินที่เป็นเงินตราต่างประเทศมียอดคงเหลืออยู่ก็ต้องคำนวณค่าหรือราคาของเงินตราต่างประเทศด้วยอัตราปิด(CLOSING RATE) เช่นเดียวกับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (5) แต่การคำนวณเงินตราต่างประเทศตามภาระผูกพันของธนาคารที่มีต่อบริษัทฯ ณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ก็ต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเดียวกันกับที่ใช้คำนวณทรัพย์สินหรือหนี้สินของบริษัทฯ เพราะมูลหนี้เกิดจากทรัพย์สินหรือหนี้สินเงินตราต่างประเทศจำนวนเดียวกัน ย่อมไม่มีผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน ความเห็นของบริษัทฯถูกต้องหรือไม่
      ทั้งนี้ การอ้างมาตรฐานการบัญชีดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งกำหนดให้บริษัทฯ จัดทำงบการเงิน โดยคำนึงถึงมาตรฐานการบัญชีของไทยซึ่งกำหนดโดยสมาคมนักบัญชี และผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี และในกรณีที่มาตรฐานการบัญชีของไทยยังครอบคลุมไม่ถึง ก็ให้ใช้มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS) หรือมาตรฐานการบัญชีของสหรัฐอเมริกา (AICPA) ตามลำดับ

แนววินิจฉัย

:     1. ปัจจุบันได้มีประกาศกระทรวงการคลังให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว (MANAGED
FLOAT) ดังนั้น ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทฯ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 โดยบริษัทฯ อาจเลือกนำผลกำไรหรือขาดทุนจากการตีราคาทรัพย์สินหรือหนี้สินมารวมเป็นรายได้หรือรายจ่ายได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชี ตามข้อ 1 หรือจะเลือกนำเฉพาะผลกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ซึ่งเป็นรอบระยะเวลาบัญชีแรกที่มีการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ตามประกาศกระทรวงการคลังมาเป็นรายได้หรือรายจ่ายในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามข้อ 2 หรือจะเลือกคำนวณกำไรหรือขาดทุนจาก
การตีราคาทรัพย์สินหรือหนี้สินตามส่วนเฉลี่ยของมูลค่าทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกเป็นต้นไป แต่ไม่เกินห้ารอบระยะเวลาบัญชี ตามข้อ 3 แห่งคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 ฯลฯ ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ก็ได้
      2. กรณีบริษัทฯ มีทรัพย์สินหรือหนี้สินซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ และบริษัทฯได้ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าคงที่ (FORWARD RATE) ไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อชำระหรือรับชำระราคาทรัพย์สินหรือหนี้สิน สัญญาดังกล่าวย่อมมีผลบังคับใช้ระหว่างบริษัทฯ และธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้นเท่านั้น แต่ในการคำนวณมูลค่าหรือราคาทรัพย์สินหรือหนี้สินที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (31 ธันวาคม) เพื่อคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ บริษัทฯ จะต้องคำนวณค่าหรือราคาทรัพย์สินเป็นเงินตราไทย ตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้และคำนวณค่าหรือราคาหนี้สินเป็นเงินตราไทย ตามอัตราเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขาย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรค 1 แห่งประมวลรัษฎากร และหากบริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริษัทฯ มีสิทธินำผลขาดทุนนั้น มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นได้
      3. กรณีที่บริษัทฯ ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นเงินตราต่าประเทศและได้ทำสัญญาประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (SWAP) เป็นกรณีที่บริษัทฯ ได้จัดเตรียมวิธีการเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของกิจการ แต่อย่างไรก็ตามในการคำนวณมูลค่าหรือราคาทรัพย์สินหรือหนี้สินของกิจการ บริษัทฯ ยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรค 1 แห่งประมวลรัษฎากรเช่นเดียวกับข้อ 2 หรือจะเลือกปฏิบัติ ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 72/2540 ฯลฯ ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ตามข้อ 1. ก็ได้

เลขตู้

: 61/26296

 

 

 

 

clear-gif

WCAG 2.0 (Level AA)

Last update :
 Friday, May 22, 2020

 
รูปมุมซ้าย
หน้าหลักรูปเส้นประEnglishรูปเส้นประแผนผังเว็บไซต์รูปเส้นประแนะนำเว็บไซต์รูปเส้นประติดต่อกรมสรรพากรรูปเส้นประ


 
สงวนลิขสิทธิ์โดยกรมสรรพากร : Website Policy : Privacy Policy : Website Security Policy : Disclaimer
 
กรมสรรพากร 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 1161