ขออภัยมีข้อจำกัดในการแสดงผล
รูปเส้นประเกี่ยวกับกรมสรรพากรรูปเส้นประห้องข่าวรูปเส้นประบริการอิเล็กทรอนิกส์รูปเส้นประความรู้เรื่องภาษีรูปเส้นประบริการข้อมูลรูปเส้นประอ้างอิงรูปเส้นประRD Knowledge
รูปมุมซ้าย รูปมุมขวา
ค้นหาขั้นสูง
ความช่วยเหลือ
 
ประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ประกาศ/คำสั่ง คสช.
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติ ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลี่ยม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อหารือภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
คำพิพากษาฏีกา
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
กฎหมายออกใหม่
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
สรุปสิทธิประโยชน์กฎหมายภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
โครงการศึกษาและพัฒนาประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อมูลการพัฒนากฏหมายของกรมสรรพากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง


เลขที่หนังสือ

: กค 0811/พ.ว.04437

วันที่

: 12 พฤษภาคม 2542

เรื่อง

: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อกฎหมาย

: มาตรา 77/1, มาตรา 78, มาตรา 80, มาตรา 86, พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 353) พ.ศ.2542

ข้อหารือ

: ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษี
มูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 353) พ.ศ. 2542 ปรับปรุงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมซึ่งจัดเก็บในอัตราร้อยละ
10.0 เป็นอัตราร้อยละ 7.0 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544
และจัดเก็บในอัตราร้อยละ 10.0 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นต้นไป นั้น
เพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ ปฏิบัติเกี่ยวกับการชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการที่คำนวณภาษี
มูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544
เป็นแนวทางเดียวกัน กรมสรรพากรจึงเรียนมาเพื่อซ้อมความเข้าใจดังต่อไปนี้

แนววินิจฉัย

: 1. กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้าหรือให้บริการแก่ส่วนราชการผู้ประกอบการ
จดทะเบียนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้
(1) กรณีการขายสินค้าเสร็จเด็ดขาด ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของ
ผู้ประกอบการจดทะเบียนเกิดขึ้นเมื่อส่งมอบสินค้าตามมาตรา 78 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่
ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับชำระค่าสินค้าหรือได้ออกใบกำกับภาษีก่อนการส่งมอบสินค้า ความรับผิดใน
การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระค่าสินค้าหรือได้ออกใบกำกับภาษี แล้วแต่กรณี ตามมาตรา
78 (1) (ข) และ (ค) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น
(ก) ถ้าผู้ประกอบการจดทะเบียนส่งมอบสินค้าให้แก่ส่วนราชการก่อนวันที่ 1
เมษายน พ.ศ.2542 ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 ตาม
มาตรา 78 (1)และมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร โดยออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการ
ตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร แม้ว่าส่วนราชการจะชำระค่าสินค้าและภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1
เมษายน พ.ศ.2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544 ก็ตาม กรณีดังกล่าว ส่วนราชการต้องจ่ายค่า
สินค้าและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 10.0 ตัวอย่าง บริษัท ก จำกัด ทำสัญญาขายครุภัณฑ์กับ
ส่วนราชการวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 มูลค่าสินค้า 1,122,000 บาท ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มใน
อัตราร้อยละ 10.0 ไว้แล้ว บริษัท ก ส่งมอบครุภัณฑ์ทั้งหมดวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2542 บริษัท ก
ต้องออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2542 โดยคำนวณ
ภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 1,122,000 บาท คูณด้วย 10 หารด้วย 110 เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 102,000
บาท เป็นมูลค่าสินค้า 1,020,000 บาท (1,122,000 หักด้วย 102,000) เมื่อส่วนราชการชำระค่า
สินค้าวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2542 จะต้องชำระเงิน 1,122,000 บาท
(ข) ถ้าผู้ประกอบการจดทะเบียนส่งมอบสินค้าให้แก่ส่วนราชการตั้งแต่วันที่ 1
เมษายน พ.ศ. 2542 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544 ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่เสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 78 (1) และมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร โดย
ออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร แม้ว่าส่วนราชการจะ
ชำระค่าสินค้าและภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นต้นไป กรณีดังกล่าว
ส่วนราชการต้องจ่ายค่าสินค้าและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 7.0
ตัวอย่าง บริษัท ก จำกัด ทำสัญญาขายครุภัณฑ์กับส่วนราชการวันที่ 1
มีนาคม พ.ศ. 2542 มูลค่าสินค้า 1,122,000 บาท ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 ไว้แล้ว
บริษัท ก ส่งมอบครุภัณฑ์ทั้งหมดวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2542 บริษัท ก ต้องออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้
แก่ส่วนราชการในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2542 โดยคำนวณมูลค่าสินค้าและภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ ดังนี้
มูลค่าสินค้ารวมภาษีมูลค่าเพิ่มตามสัญญา 1,122,000.00 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1,122,000 x 10 102,000.00 บาท
110
มูลค่าสินค้าสุทธิ 1,020,000.00 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1,020,000 x 7 71,400.00 บาท
100
ต้องเรียกเก็บรวม 1,091,400.00 บาท
(2) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนผลิตหรือขายสินค้าประเภทและชนิดนั้นเป็นปกติ
อยู่แล้ว แม้ว่าส่วนราชการจะสั่งให้ผลิตตามแบบที่กำหนดซึ่งแตกต่างไปจากสินค้าที่ผลิตหรือขายเป็นปกติอยู่
บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นสินค้าประเภทและชนิดเดียวกัน ถือว่าผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้า ตามมาตรา
77/1 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและการชำระค่าสินค้า ปฏิบัติ
เช่นเดียวกับ (1)
(3) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้าพร้อมบริการติดตั้ง เช่น การขาย
เครื่องปรับอากาศพร้อมติดตั้ง หากตกลงเป็นราคาเหมารวมโดยไม่แยกว่าเป็นค่าสินค้าจำนวนเท่าใด
และค่าติดตั้งเป็นจำนวนเท่าใด ถือเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง
ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและการชำระค่าสินค้า ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (1) แต่หากตกลงโดย
แยกราคาค่าสินค้าและราคาค่าติดตั้งออกจากกัน ค่าติดตั้งที่แยกออกมายังคงถือเป็นบริการ
(4) กรณีการขายสินค้าตามสัญญาให้เช่าซื้อหรือสัญญาซื้อขายผ่อนชำระ ที่กรรมสิทธิ์ใน
สินค้า ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อได้ส่งมอบความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ
จดทะเบียนเกิดขึ้นเมื่อถึงกำหนดชำระราคาตามงวดที่ถึงกำหนดชำระราคาแต่ละงวดตามมาตรา 78 (2)
แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับชำระราคาสินค้าหรือได้ออกใบกำกับภาษีก่อน
ถึงกำหนดชำระราคาแต่ละงวด ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาสินค้า
หรือได้ออกใบกำกับภาษีตามมาตรา 78 (2) (ก) และ (ข) แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี ดังนั้น
(ก) ถ้างวดที่ถึงกำหนดชำระราคาค่าเช่าซื้อเป็นงวดก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ผู้ประกอบการ
จดทะเบียนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 ตามมาตรา 78 (2) และมาตรา 80 แห่ง
ประมวลรัษฎากร โดยออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการ ตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร
แม้ว่าส่วนราชการจะไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อตามงวดที่ถึงกำหนดชำระก็ตาม กรณีดังกล่าว ส่วนราชการต้อง
จ่ายค่าเช่าซื้อและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 10.0(ข) ถ้างวดที่ถึงกำหนดชำระราคาค่าเช่า
ซื้อเป็นงวดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544 ผู้ประกอบการ
จดทะเบียนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 78 (2) และมาตรา 80 แห่ง
ประมวลรัษฎากร โดยออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร
แม้ว่าส่วนราชการจะไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อตามงวดที่ถึงกำหนดชำระก็ตามกรณีดังกล่าว ส่วนราชการต้อง
จ่ายค่าเช่าซื้อและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 7.0 ซึ่งการคำนวณค่าเช่าซื้อและภาษีมูลค่าเพิ่ม
เช่นเดียวกับตัวอย่าง (1) (ข)
(5) กรณีการให้บริการความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ
จดทะเบียนเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาค่าบริการ ตามมาตรา 78/1 (1) หรือเมื่อได้รับชำระราคา
ค่าบริการตามส่วนของบริการที่สิ้นสุดลง ตามมาตรา 78/1 (2) แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่
ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ออกใบกำกับภาษีก่อนได้รับชำระราคาค่าบริการ ความรับผิดในการเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อได้ออกใบกำกับภาษีตามมาตรา 78/1 (1) (ก) และมาตรา 78/1 (2) (ก)
แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี เช่น การรับจ้างซ่อมยานพาหนะและอุปกรณ์ต่าง ๆ การรับเหมา
ก่อสร้างอาคาร ดังนั้น
(ก) ถ้าผู้ประกอบการจดทะเบียนรับชำระราคาค่าบริการก่อนวันที่ 1 เมษายน
พ.ศ. 2542 หรือได้ออกใบกำกับภาษีก่อนรับชำระราคาค่าบริการก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542
ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 ตามมาตรา 78/1 และมาตรา
80 แห่งประมวลรัษฎากร โดยออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการตามมาตรา 86 แห่ง
ประมวลรัษฎากร ส่วนราชการต้องจ่ายค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 10.0
(ข) ถ้าผู้ประกอบการจดทะเบียนรับชำระราคาค่าบริการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน
พ.ศ. 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544 หรือได้ออกใบกำกับภาษีก่อนรับชำระราคาค่าบริการ
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544 ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่
เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 78/1 และมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร โดย
ออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนราชการต้องจ่าย
ค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 7.0 ตัวอย่าง บริษัท ข จำกัด ทำสัญญารับเหมา
ก่อสร้างกับส่วนราชการวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 สัญญาสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2543 มูลค่า
งานก่อสร้าง 16,500,000 บาท ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 ไว้แล้ว บริษัท ข ส่งมอบ
งานบางส่วน และส่วนราชการตรวจรับมอบงานบางส่วนแล้ววันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2541 บริษัท ข
ออกใบแจ้งหนี้ค่างานเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2542 จำนวน 5,500,000 บาท ส่วนราชการชำระค่า
งานวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2542 จำนวน 5,500,000 บาท บริษัท ข ต้องออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้
แก่ส่วนราชการในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2542 โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 5,500,000 บาท คูณ
ด้วย 10 หารด้วย 110 เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 500,000 บาท เป็นมูลค่างาน 5,000,000 บาท
ซึ่งส่วนราชการต้องจ่ายค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 5,500,000 บาทต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม
พ.ศ. 2542 บริษัท ข ส่งมอบงาน และส่วนราชการชำระค่างานส่วนที่เหลือจำนวน 11,000,000 บาท
บริษัท ข ต้องออกใบกำกับภาษีส่งมอบให้แก่ส่วนราชการในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 โดยคำนวณ
มูลค่างานและภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ ดังนี้
มูลค่างานรวมภาษีมูลค่าเพิ่มตามสัญญา 11,000,000.00 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 11,000,000 x 10 1,000,000.00 บาท
110
มูลค่างานสุทธิ 10,000,000.00 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 10,000,000 x 7 700,000.00 บาท
100
ต้องเรียกเก็บรวม 10,700,000.00 บาท
2. กรณีส่วนราชการได้วางฎีกาเบิกเงินจากกรมบัญชีกลางหรือคลังจังหวัด ตามจำนวนค่า
สินค้าหรือบริการที่คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 และได้รับอนุมัติฎีกาแล้ว ให้ปฏิบัติดังนี้
(1) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0
ส่วนราชการต้องจ่ายค่าสินค้าหรือค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 10.0
(2) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ส่วน
ราชการต้องจ่ายค่าสินค้าหรือค่าบริการและภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณในอัตราร้อยละ 7.0 ตามตัวอย่างข้อ
1(1) (ข) หรือข้อ 1 (5) (ข) แล้วแต่กรณีสำหรับเงินส่วนที่เหลือจากที่ได้รับอนุมัติฎีกา ให้นำส่ง
กรมบัญชีกลางหรือคลังจังหวัดตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(3) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 แต่
ได้ออกใบกำกับภาษีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนราชการในอัตราร้อยละ 10.0 และส่วนราชการได้
จ่ายค่าสินค้าหรือค่าบริการตามจำนวนที่คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 ผู้ประกอบการ
จดทะเบียนต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี (ภ.พ.30) เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 ซึ่งถือว่า
แสดงภาษีขายไว้เกินไป ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องยื่นคำร้องตามแบบ ค.10 ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มใน
อัตราร้อยละ 3.0 ภายในสามปีนับแต่วันที่ได้ชำระภาษีเกินไป กรณีดังกล่าวให้ส่วนราชการเรียกคืนเงิน
ภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่จ่ายเกินไปจากผู้ประกอบการจดทะเบียนต่อไป

เลขตู้

:

 


 

clear-gif

WCAG 2.0 (Level AA)

Last update :
 Friday, May 22, 2020

 
รูปมุมซ้าย
หน้าหลักรูปเส้นประEnglishรูปเส้นประแผนผังเว็บไซต์รูปเส้นประแนะนำเว็บไซต์รูปเส้นประติดต่อกรมสรรพากรรูปเส้นประ


 
สงวนลิขสิทธิ์โดยกรมสรรพากร : Website Policy : Privacy Policy : Website Security Policy : Disclaimer
 
กรมสรรพากร 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 1161