ข้อหารือ | : บริษัทฯ ประกอบกิจการประกันวินาศภัยซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นไป ในการดำเนินธุรกิจการ ประกันวินาศภัยอาจจะมีการเพิ่มวงเงินประกันจากกรมธรรม์ฉบับเดิม เนื่องจากเพิ่มทุนประกัน เพิ่มวัตถุที่ เอาประกัน หรือเพิ่มอัตราเบี้ยประกัน ดังนี้ (1) บริษัทฯ รับประกันภัยบ้าน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 จำนวนเงินเอาประกันตาม กรมธรรม์ 1,200,000 บาท ต่อมามีความประสงค์เพิ่มวงเงินเอาประกันอีก 500,000 บาท รวมเป็น 1,700,000 บาท (2) บริษัทฯ รับประกันภัยบ้าน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 จำนวนเงินเอาประกันตาม กรมธรรม์ 1,200,000 บาท จ่ายเบี้ยประกัน 1,500 บาท ต่อมาใช้บ้านอาศัยเป็นร้านค้า จึงต้องเสีย เบี้ยประกันภัยในอัตราเพิ่ม (%) หมายความว่า จำนวนเงินเอาประกันเท่าเดิม คือ 1,200,000 บาท แต่ต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 บาท (3) จากกรณีตาม (2) นอกจากใช้บ้านเป็นร้านค้าแล้ว ผู้เอาประกันเพิ่มวัตถุที่เอาประกัน ด้วย คือ เพิ่มประกันภัยสต็อกสินค้าผ้า วงเงิน 500,000 บาท รวมกับวงเงินตามกรมธรรม์เดิมอีก 1,200,000 บาท เป็น 1,700,000 บาท กรณีตาม (1) - (3) ผู้ประกอบการจัดทำเอกสาร "ใบสลักหลัง" อีก 1 ฉบับ ให้แก่ ผู้เอาประกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ (ก) ใบสลักหลังเลขที่... และกรมธรรม์เลขที่... (ข) ชื่อ ที่อยู่ ผู้เอาประกัน (ค) วันที่ที่ทำใบสลักหลัง วันเริ่มคุ้มครองตามวงเงินประกันใหม่ และระยะเวลาสิ้นสุด (ง) จำนวนเงินเอาประกันตามกรมธรรม์ฉบับสลักหลัง (จ) จำนวนที่เพิ่มขึ้น/ลดลง (ส่วนต่าง) (ฉ) รายละเอียดเกี่ยวกับเบี้ยประกัน ได้แก่ อัตรา% (ปกติ) อัตราเพิ่ม % จำนวนเงินที่ เพิ่ม/คืน เบี้ยประกันภัยสุทธิ และอากรแสตมป์ (ช) เลขรหัสประเภทประกันภัย เช่น ประกันภัยตนเอง บุคคลที่สาม เป็นต้น บริษัทฯ ขอทราบว่า จะต้องจัดทำใบกำกับภาษีหรือใบเพิ่มหนี้ หรือไม่ |