ขออภัยมีข้อจำกัดในการแสดงผล
รูปเส้นประเกี่ยวกับกรมสรรพากรรูปเส้นประห้องข่าวรูปเส้นประบริการอิเล็กทรอนิกส์รูปเส้นประความรู้เรื่องภาษีรูปเส้นประบริการข้อมูลรูปเส้นประอ้างอิงรูปเส้นประRD Knowledge
รูปมุมซ้าย รูปมุมขวา
ค้นหาขั้นสูง
ความช่วยเหลือ
 
ประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ประกาศ/คำสั่ง คสช.
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติ ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลี่ยม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อหารือภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
คำพิพากษาฏีกา
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
กฎหมายออกใหม่
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
สรุปสิทธิประโยชน์กฎหมายภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
โครงการศึกษาและพัฒนาประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อมูลการพัฒนากฏหมายของกรมสรรพากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง


เลขที่หนังสือ

: กค 0811/10032

วันที่

: 23 กันยายน 2542

เรื่อง

: ภาษีเงินได้และภาษีการค้า กรณีการออกหมายเรียกและแจ้งการประเมินภาษีบุคคลภายหลังที่ศาลมี
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและมีคำสั่งเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว

ข้อกฎหมาย

: มาตรา 45 วรรค 2, มาตรา 77(1), มาตรา 8

ข้อหารือ

: สรรพากรภาค ได้ออกหมายเรียกไปยังนาย ก ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ มีนาง ข
เป็นผู้รับเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2539 สำหรับตรวจสอบภาษีในปี พ.ศ. 2534 เนื่องจากในปี พ.ศ.2533
นาย ก ได้ซื้อและแบ่งแยกโฉนดที่ดินรวมทั้งปลูกสร้างอาคาร ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ได้ขายที่ดินพร้อม
อาคารดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการมุ่งค้าและหากำไร อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีการค้าตามประเภท
การค้า 11 แต่นาย ก มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี พ.ศ. 2534 และ
มิได้จดทะเบียนและเสียภาษีการค้าสรรพากรพื้นที่จึงได้ประเมินภาษีเงินได้ฯ และภาษีการค้า ตามหนังสือ
แจ้งการประเมิน ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 และแจ้งการประเมินภาษีดังกล่าวทางไปรษณีย์
ลงทะเบียนตอบรับ แต่หนังสือแจ้งการประเมินถูกส่งคืนเนื่องจากไปรษณีย์แจ้งว่า "ย้ายไม่ทราบที่อยู่"
ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่านาย ก ถูกศาลแพ่งธนบุรีพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม
2534 และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2536 และศาลมีคำสั่งปิดคดีแล้ว
ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2538 สรรพากรพื้นที่จึงขออนุมัติยกเลิกการประเมินภาษีดังกล่าว
สรรพากรภาค มีความเห็นว่า การออกหมายเรียกนาย ก เพื่อไปให้ถ้อยคำต่อ
เจ้าพนักงานประเมินในตรวจสอบการเสียภาษี ถือเป็นการจัดการทรัพย์สินอย่างหนึ่งตามคำพิพากษาฎีกาที่
4955/2536 ดังนั้น เมื่อนาย ก เป็นบุคคลล้มละลายแล้วตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2536
เจ้าพนักงานประเมินจึงต้องจัดส่งหมายเรียกไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (จพท.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ
จัดการทรัพย์สินตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ดังนั้น การส่งหมายเรียกจึง
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้การประเมินภาษีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย

แนววินิจฉัย

: 1. ความเห็นของสรรพากรภาค เกี่ยวกับคำพิพากษาฎีกาที่ 4955/2536 ยังไม่ถูกต้อง
เนื่องจากในคดีดังกล่าวกรมสรรพากร (จำเลย) ได้แก้อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ในระหว่างการ
ประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ หรือไม่ เพราะศาลได้มีคำสั่ง
พิทักษ์เด็ดขาดโจทก์ไปแล้วอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินจึงเป็นของ จพท. แม้ว่าที่ประชุม
เจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้วก็ตาม
ซึ่งศาลได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ว่า การประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 45 ที่ศาล
เห็นชอบด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ได้ตั้งบุคคลอื่นหรือ จพท.เป็นผู้จัดการทรัพย์สินหรือกิจการแทนลูกหนี้
ตามมาตรา 58 ต้องถือว่าคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้นเป็นอันยกเลิกไปในตัว และลูกหนี้กลับเป็นผู้มีอำนาจจัดการ
ทรัพย์สินหรือกิจการของตนขึ้นตามเดิม (ไม่ถูกจำกัดอำนาจตามมาตรา 58) จพท.ย่อมหมดอำนาจหน้าที่
ต่างๆ เพียงแต่มีอำนาจบางประการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามเงื่อนไขการประนอมหนี้ตามมาตรา 57
หรือการขอให้ยกเลิกการประนอมหนี้ตามมาตรา 60 รวมทั้งการดำเนินคดีแพ่งแทนลูกหนี้ตามมาตรา 25
ที่ยังคั่งค้างอยู่ต่อไปเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเมื่อการให้ถ้อยคำต่อเจ้าหนักงานประเมินตามที่ถูกเรียกตรวจสอบ
ไต่สวนการเสียภาษี การอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และการฟ้องขอให้เพิกถอน
การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังเช่นคดีนี้เป็นการจัดการทรัพย์สิน
อย่างหนึ่ง จึงอยู่ในอำนาจของโจทก์ที่จะจัดการได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ดังนั้น การวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินดังกล่าว จึงเป็นกรณีตามมาตรา 45
วรรคสอง มิใช่ตามมาตรา 22(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ทั้งการออกหมายเรียกและการ
ประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินไม่ใช่การจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้แต่อย่างใด
2. เนื่องจากการประเมินภาษีไม่ใช่การฟ้องร้องต่อศาลตามมาตรา 22(3) แห่ง
พระราชบัญญัติล้มละลายฯแม้จะมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องร้อง ซึ่งมีผลเพียงเพื่อการตั้งสิทธิเรียกร้อง
เท่านั้น แต่ไม่ใช่การฟ้องคดี ทั้งนี้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4178/2532 ซึ่งได้วินิจฉัยในประเด็น
ดังกล่าวว่า "การฟ้องคดีมรดกย่อมมีความหมายถึงการกล่าวหรือเสนอข้อหาต่อศาล เพื่อบังคับเอาแก่
กองมรดกเท่านั้น หาได้มีความหมายเลยไปถึงการประเมินหรือแจ้งจำนวนภาษีอากรให้โจทก์ชำระของ
เจ้าพนักงานประเมินด้วยไม่... การประเมินภาษีไม่ใช่การฟ้องร้องต่อศาลแม้การที่เจ้าพนักงานประเมิน
ได้แจ้งคำสั่งประเมินให้ผู้จัดการมรดกทราบ... อันถือได้ว่าทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับ
การฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง
นับแต่วันที่ได้ประเมิน และแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังผู้ต้องเสียภาษีดังศาลภาษีอากรกลาง
วินิจฉัยก็ตาม แต่การมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องร้อง มีความหมายเพียงเพื่อผลในการตั้ง
สิทธิเรียกร้องเท่านั้น หาใช่การฟ้องคดีตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754
วรรคสาม ไม่ เพราะถ้าการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องเป็นการฟ้องคดีแล้ว
การทำการอื่นใดนั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาทำการฟ้องคดีเมื่อมีข้อโต้แย้งต่อมาอีก..."
ดังนั้น การส่งหมายเรียกไปยังนาย ก ภายหลังถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและเป็นบุคคล
ล้มละลายแล้วของเจ้าพนักงานประเมินจึงชอบด้วยมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่จำต้องส่ง
หมายเรียกไปยัง จพท. แต่อย่างใด
3. กรณีเจ้าพนักงานประเมินจะได้ออกหมายเรียกภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
เด็ดขาดและศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว และไม่ได้ขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด 2 เดือน
นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา 27 และมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ
เจ้าพนักงานประเมินก็มีหน้าที่ต้องทำการประเมินภาษีอากรในนามของนาย ก และส่งหนังสือ
แจ้งการประเมินไปยังนาย ก ตามมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากร และแจ้งให้ จพท.ผู้มีอำนาจจัดการ
ทรัพย์สินตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ทราบด้วย ทั้งนี้ ตามการประชุม กพอ. ครั้งที่
4/2533 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2533 (ระเบียบวาระที่ 1) ทั้งนี้ เนื่องจากแม้ในกรณีที่ลูกหนี้
ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ และที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับ
และศาลเห็นชอบด้วยแล้ว ย่อมผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดที่ได้ขอรับชำระหนี้และไม่ได้ขอรับชำระหนี้ แต่ไม่ผูกมัด
เจ้าหนี้ภาษีอากรตามมาตรา 77(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่
1001/2509 และในกรณีที่ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(1) หรือ (2) ไม่ทำให้
ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินแต่อย่างใด เพราะคำว่า "หนี้สิน" ไม่ได้หมายความเฉพาะหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้
ไว้ในคดีล้มละลายแล้วเท่านั้น ดังนั้น แม้เจ้าหนี้จะมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ตามมาตรา 27 และมาตรา
91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ เจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องลูกหนี้เกี่ยวกับหนี้สินนั้นเป็นคดีล้มละลายคดี
ใหม่ หรือคดีแพ่งธรรมดาอีกได้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703 - 1704 - 2506

เลขตู้

: 62/28353

 


 

clear-gif

WCAG 2.0 (Level AA)

Last update :
 Friday, May 22, 2020

 
รูปมุมซ้าย
หน้าหลักรูปเส้นประEnglishรูปเส้นประแผนผังเว็บไซต์รูปเส้นประแนะนำเว็บไซต์รูปเส้นประติดต่อกรมสรรพากรรูปเส้นประ


 
สงวนลิขสิทธิ์โดยกรมสรรพากร : Website Policy : Privacy Policy : Website Security Policy : Disclaimer
 
กรมสรรพากร 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 1161