ข้อหารือ | : กรมทางหลวงได้ทำสัญญาจ้าง A. ทำการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 41 ภายใต้โครงการ เงินกู้ OECF การจ่ายเงินค่างานแบ่งจ่ายเป็น 2 ส่วน ๆ หนึ่งจ่ายจากเงินกู้ OECF เป็นเงินเยน 53% และส่วนที่เหลือ 47% จ่ายจากเงินงบประมาณ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการจ่ายค่างานในส่วนของเงินงบประมาณ 47% โดยให้ใช้ เงินกู้ OECF แทนเงินงบประมาณทั้งหมด แต่ใช้เงินทดรองราชการจ่ายไปก่อนแล้วจึงนำหลักฐานการจ่ายไปขอ เบิกเงินกู้ OECF มาใช้คืนเงินทดรองราชการในภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทำให้ค่างานตาม สัญญาจ่ายจากเงินกู้ทั้ง 100% และการจ่ายเงินค่างานได้รับสิทธิ์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 กรมทางหลวงได้เบิกจ่ายค่างานงวดที่ 1, 2, 3 ในส่วนของเงินทดรองราชการ 47% และ ได้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้ผู้รับเหมาไปด้วย รวมเป็นเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 2,448,564.76 บาท ซึ่งผู้รับเหมาในฐานะผู้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) แล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2542 และกรมทางหลวงได้นำเอกสารการจ่ายเงินทดรองราชการของค่างานงวด 1, 2, 3 ไปขอเบิกจากเงินกู้ OECF เพื่อนำมาใช้คืนเงินทดรองราชการตามวิธีการ แต่ปรากฏว่าแหล่ง เงินกู้จ่ายชดใช้คืนเงินทดรองราชการเฉพาะค่างาน โดยไม่จ่ายค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเหตุให้เงินทดรอง ราชการได้รับการใช้คืนขาดไปเท่ากับจำนวนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม 2,448,564.76 บาท และเงินทดรอง ราชการที่คงเหลือไม่พอจ่ายค่างานได้ครบตามสัญญา กรมทางหลวงมีความจำเป็นต้องหาเงินมาชดใช้ เงินทดรองราชการให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขการเบิกจ่าย จึงได้ดำเนินการขออนุมัติจากสำนักงบประมาณ มาใช้เพื่อการนี้ ซึ่งสำนักงบประมาณเห็นว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงขอให้กรมทางหลวง ติดต่อประสานงานขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจากกรมสรรพากรโดยตรง กรมทางหลวงเห็นว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2,448,564.76 บาท เกิดจากการจ่ายค่างาน ตามโครงการเงินกู้ OECF ซึ่งได้รับสิทธิ์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(4) แห่งประมวลรัษฎากร และกรมทางหลวงจะขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2,448,564.76 บาท ได้ หรือไม่ |