ขออภัยมีข้อจำกัดในการแสดงผล
รูปเส้นประเกี่ยวกับกรมสรรพากรรูปเส้นประห้องข่าวรูปเส้นประบริการอิเล็กทรอนิกส์รูปเส้นประความรู้เรื่องภาษีรูปเส้นประบริการข้อมูลรูปเส้นประอ้างอิงรูปเส้นประRD Knowledge
รูปมุมซ้าย รูปมุมขวา
ค้นหาขั้นสูง
ความช่วยเหลือ
 
ประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ประกาศ/คำสั่ง คสช.
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติ ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลี่ยม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อหารือภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
คำพิพากษาฏีกา
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
กฎหมายออกใหม่
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
สรุปสิทธิประโยชน์กฎหมายภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
โครงการศึกษาและพัฒนาประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อมูลการพัฒนากฏหมายของกรมสรรพากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง


เลขที่หนังสือ

: กค 0811/1433

วันที่

: 18 กุมภาพันธ์ 2545

เรื่อง

: ขอพระราชทานพระมหากรุณา

ข้อกฎหมาย

: มาตรา 12, มาตรา 30

ข้อหารือ

: นาง ส. ได้นำที่ดินอยู่อาศัยและทำกิน น.ส.3 ก. เนื้อที่ 43-0-63 ไร่ ซึ่งติดจำนอง
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พร้อมที่ดินที่ครอบครองทำประโยชน์เกิน น.ส.3 ก. อีก
9-1-37 ไร่ ไปทำสัญญาจะซื้อขายกับนาย จ. ราคาไร่ละ 25,000 บาท จากนั้น นาย จ. ได้ให้เงิน
จำนวนหนึ่งเพื่อนำไปไถ่ถอนจำนองที่ดิน เงินส่วนที่ค้างจะจ่ายให้ในวันโอนที่ดิน ต่อมาเมื่อ จดทะเบียน
โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเรียบร้อยแล้ว นาย จ. กลับผิดนัดการชำระเงินส่วนที่เหลือโดยอ้างเหตุต่าง ๆ
ปัจจุบันครอบครัวได้รับความเดือดร้อนมาก เนื่องจากสำนักงานสรรพากรจังหวัดได้ดำเนินการยึดทรัพย์
โดยอ้างเหตุค้างชำระค่าอากรและค่าเพิ่มอากรจากการทำนิติกรรมขายที่ดินแปลงพิพาท ด้วยเหตุดังกล่าว
จึงประสงค์ที่จะขอพระราชทานพระมหากรุณาเพื่อให้ได้รับเงินจำนวนที่ค้างชำระจากผู้ซื้อที่ดิน จึงขอให้มี
การถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พร้อมทั้งให้ทางราชการจัดสรรที่ดินสำหรับประกอบอาชีพตามนโยบายแก้ไขปัญหา
ความยากจนด้วย

แนววินิจฉัย

: ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ราย นาง ส. มีดังนี้
1. นาง ส. ได้ถูกตรวจพบว่าทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายที่ดินตาม
น.ส.3 ก. เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 โดยขายให้กับนาย อ. แสดงราคาทุนทรัพย์ที่ขอทำ นิติกรรม
เป็นจำนวนเงิน 430,000 บาท กรมที่ดินจึงประเมินราคาทุนทรัพย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็น
จำนวนเงิน 431,575 บาท และเรียกเก็บอากรแสตมป์เป็นจำนวนเงิน 2,158 บาท ต่อมาปรากฏว่า
นาง ส. ได้ยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้รับเงินค่าขายที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 1,075,000 บาท
และนาย อ. ยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้ชำระเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน
1,078,937.50 บาท สำนักงานที่ดินจังหวัดชัยนาทจึงส่งข้อมูลให้สำนักงานสรรพากรจังหวัดชัยนาททำ
การตรวจสอบเมื่อปี 2542
2. สำนักงานสรรพากรจังหวัดได้ทำการตรวจสอบภาษีอากรรายนี้ และเห็นว่า นาง ส. ได้
ชำระค่าอากรไว้ขาดไป จึงได้มีหนังสือแจ้งให้เสียค่าอากรและค่าเพิ่มอากรลงวันที่ 28 มิถุนายน 2542
โดยแจ้งให้นาง ส. ชำระค่าอากรเพิ่มเติมจำนวน 3,237 บาท และค่าเพิ่มอากรตามมาตรา 114(2)
(ข) แห่งประมวลรัษฎากร อีกเป็นจำนวน 6 เท่า เป็นเงิน 19,422 บาท รวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 22,659
บาท
3. เมื่อนาง ส. ได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้วมิได้นำเงินมาชำระแต่อย่างใด และจากการ
สอบสวนทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรพบว่ามีบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงใช้อำนาจ
ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ทำการอายัดบัญชีเงินฝากธนาคาร ดังกล่าว แต่ปรากฏว่าไม่มีเงิน
ในบัญชีและภายหลังจากที่ได้รับคำสั่ง ก็มิได้นำส่งเงินเพื่อชำระหนี้ภาษีอากรค้างแต่อย่างใด
ดังนั้น กรณีตามข้อเท็จจริงเมื่อนาง ส. ได้ถูกสำนักงานสรรพากรจังหวัดชัยนาทแจ้งให้เสียค่า
อากรและค่าเพิ่มอากรเพิ่มเติม และนาง ส. มิได้นำเงินมาชำระภาษีตามการประเมินเรียกเก็บเมื่อถึง
กำหนดชำระแล้ว จึงถือเป็นหนี้ภาษีอากรค้างซึ่งในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร
ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีกรมสรรพากรในเขตท้องที่จังหวัดสั่งยึดหรืออายัดและ
ขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรโดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง ตามมาตรา
12 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทได้มี
คำสั่งอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ของนาง ส. จึงเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
ดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ดี เนื่องจากนาง ส. ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินจากเจ้าพนักงานประเมินแล้ว
ดังนั้น หากนาง ส. ไม่เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ก็มีสิทธิคัดค้านการประเมินได้
โดยต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษี
ตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร และหากผู้เสียภาษีอากรมิได้อยู่ในประเทศไทย หรือมีเหตุจำเป็น
จนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาอุทธรณ์ได้ ก็สามารถยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่ออธิบดีกรมสรรพากร
ณ สำนักงานสรรพากรภาค 4 เพื่อขอขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ ตามมาตรา 3 อัฏฐ แห่ง
ประมวลรัษฎากร

เลขตู้

: 65/31266


clear-gif

WCAG 2.0 (Level AA)

Last update :
 Friday, May 22, 2020

 
รูปมุมซ้าย
หน้าหลักรูปเส้นประEnglishรูปเส้นประแผนผังเว็บไซต์รูปเส้นประแนะนำเว็บไซต์รูปเส้นประติดต่อกรมสรรพากรรูปเส้นประ


 
สงวนลิขสิทธิ์โดยกรมสรรพากร : Website Policy : Privacy Policy : Website Security Policy : Disclaimer
 
กรมสรรพากร 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 1161