ขออภัยมีข้อจำกัดในการแสดงผล
รูปเส้นประเกี่ยวกับกรมสรรพากรรูปเส้นประห้องข่าวรูปเส้นประบริการอิเล็กทรอนิกส์รูปเส้นประความรู้เรื่องภาษีรูปเส้นประบริการข้อมูลรูปเส้นประอ้างอิงรูปเส้นประRD Knowledge
รูปมุมซ้าย รูปมุมขวา
ค้นหาขั้นสูง
ความช่วยเหลือ
 
ประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฏากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ประกาศ/คำสั่ง คสช.
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติ ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มฯ
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลี่ยม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อหารือภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
คำพิพากษาฏีกา
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
กฎหมายออกใหม่
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
สรุปสิทธิประโยชน์กฎหมายภาษีอากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
โครงการศึกษาและพัฒนาประมวลรัษฎากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
ข้อมูลการพัฒนากฏหมายของกรมสรรพากร
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560
รูปหัวข้อย่อย
ว่าง
ว่าง


เลขที่หนังสือ

: กค 0811(กม.06)/พ./149

วันที่

: 29 มกราคม 2545

เรื่อง

: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการตรวจนับสินค้ารถยนต์

ข้อกฎหมาย

: มาตรา 71/1(8), มาตรา 77/2(1), มาตรา 78(1)(3)

ข้อหารือ

: 1. ในวันที่ 8 กันยายน 2541 จังหวัดได้เข้าตรวจนับสินค้า ณ สถานประกอบการของบริษัท
พ.จำกัด พบรถยนต์จำนวน 34 คัน เป็นรถยนต์เก่าจำนวน 15 คัน และเป็นรถยนต์ใหม่จำนวน 19 คัน
โดยขายให้กรรมการแล้วจำนวน 9 คัน แต่ยังจอดไว้ที่บริษัทฯ ดังนั้น จึงมีรถยนต์ใหม่ที่ยังไม่ได้ขายจอด
ไว้ที่บริษัทฯ จำนวน 10 คัน ผู้จัดการแจ้งเพิ่มเติมอีกว่ามีรถยนต์ที่ขายใน วันที่ 3 กันยายน 2541 อีก
จำนวน 1 คัน แต่เมื่อจังหวัดตรวจรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ไม่พบใบกำกับภาษีขายแต่อย่างใด บริษัทฯ
ชี้แจงว่ารายงานสินค้าและวัตถุดิบดังกล่าวเป็นรายงานที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการขายรถและคุมจำนวน
รถที่จอดอยู่ ณ สถานประกอบการในขณะนั้น จังหวัดจึงได้ขอตรวจรายงานสินค้าและวัตถุดิบย้อนหลังใน
เดือนมิถุนายน เดือนกรกฎาคม และเดือนสิงหาคม 2541
2. ในวันที่ 18 กันยายน 2541 บริษัทฯ ได้นำรายงานสินค้าและวัตถุดิบมา ให้เจ้าพนักงาน
ตรวจสอบเป็นรายงานที่บันทึกตามใบกำกับภาษีซื้อและแสดงจำนวนรถยนต์ใหม่ ทั้งหมดของบริษัทฯ และ
จากการตรวจสอบรายงานสินค้าและวัตถุดิบดังกล่าวพบว่ามีจำนวนรถยนต์ใหม่คงเหลือ ณ วันที่ 8
กันยายน 2541 จำนวน 113 คัน โดยจอดไว้ที่บริษัทฯ จำนวน 10 คัน และอีก 103 คัน บริษัทได้นำไป
จอดไว้ที่บริษัทในเครือและอู่ต่อรถยนต์และมีรถซึ่งไม่มีในรายงานสินค้าและวัตถุดิบ จอดอยู่ที่บริษัทฯ
จำนวน 1 คัน
3. จังหวัดได้ขอความร่วมมือจากสำนักงานสรรพากรจังหวัดอื่นที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตรวจ
นับสินค้าและวัตถุดิบตามรายละเอียดดังกล่าว พบรถยนต์จำนวน 83 คัน จอดอยู่ที่บริษัทในเครือและอู่ต่อ
รถยนต์ตามที่แจ้ง ส่วนรถยนต์จำนวน 20 คันที่ตรวจนับไม่พบ บริษัทฯ ยืนยันว่ายังมิได้มีการจำหน่ายและ
นำหนังสือแจ้งจำหน่ายและหลักฐานการส่งบัญชีจำหน่ายรถยนต์ มาแสดง ซึ่งเป็นของบริษัท ฮ. จำกัด
จำนวน 9 คัน เป็นของบริษัท เอ็ม จำกัด จำนวน 10 คัน และเป็นของบริษัท ค.จำกัด จำนวน 1 คัน
โดยชี้แจงว่าหนังสือแจ้งจำหน่ายและหลักฐานการส่งบัญชีจำหน่ายรถยนต์ดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่ารถยนต์ยังไม่
ได้ขาย
4. จังหวัดหารือว่า
4.1 หนังสือชุดแจ้งจำหน่ายและการรับรองหลักฐานการส่งบัญชีจำหน่ายรถยนต์ซึ่งจัดทำขึ้น
โดยบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองรถยนต์ได้หรือไม่
4.2 รถยนต์ที่ตรวจนับไม่พบซึ่งบริษัทฯ อ้างว่าได้เคลื่อนย้ายไปจอดที่บริษัทในเครือซึ่งมิใช่
ตัวแทนจำหน่าย จะถือเป็นการขายและต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

แนววินิจฉัย

: กรณีตามรายงานสินค้าและวัตถุดิบที่บริษัทฯ นำมาให้เจ้าพนักงานตรวจสอบใน วันที่ 18
กันยายน 2541 ปรากฏว่ามีปริมาณรถยนต์ใหม่คงเหลือจำนวน 113 คัน แต่จัดเก็บไว้ ณ
สถานประกอบการของบริษัทฯ เพียงจำนวน 10 คัน ส่วนที่เหลือจำนวน 103 คัน บริษัทฯ แจ้งว่านำไป
เก็บไว้ ณ บริษัทในเครือและอู่ต่อรถยนต์ ซึ่งจังหวัดได้ขอความร่วมมือสำนักงานสรรพากรจังหวัดที่
เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตรวจนับรถยนต์ของบริษัทในเครือและอู่ต่อรถยนต์ พบว่ามีรถยนต์ของบริษัทฯ เก็บ
ไว้ ณ บริษัทในเครือและอู่ต่อรถยนต์จำนวน 83 คัน อีก 20 คันนั้น บริษัทฯ แจ้งว่ายังมิได้ขาย โดยนำ
หนังสือแจ้งการจำหน่ายและหลักฐานการส่งบัญชีจำหน่ายรถยนต์มาแสดง ซึ่งเป็นของบริษัท ฮ. จำนวน 9
คัน บริษัท เอ็ม. จำนวน 10 คัน และเป็นของบริษัท ค. จำนวน 1 คัน กรณีดังกล่าวแยกพิจารณาได้
ดังนี้
1. กรณีบริษัทฯ ส่งมอบรถยนต์ให้แก่บริษัทในเครือ เข้าลักษณะเป็นการจำหน่าย จ่าย โอน
สินค้า ซึ่งถือเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มี หน้าที่ต้องเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
เกิดขึ้นตามมาตรา 78(1) แห่งประมวลรัษฎากร และบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีในทันทีที่
ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีบริษัทฯ แต่งตั้งให้บริษัทในเครือเป็นตัวแทนเพื่อขายสินค้า เมื่อบริษัทฯ ส่งมอบรถยนต์
ให้แก่บริษัทในเครือ เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1(8)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร
บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อความ รับผิดใน
การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 78(1) แห่งประมวลรัษฎากร และ บริษัทฯ มีหน้าที่ต้อง
จัดทำใบกำกับภาษีในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 86 แห่ง
ประมวลรัษฎากร เว้นแต่บริษัทฯ ทำสัญญาแต่งตั้งให้บริษัทในเครือเป็นตัวแทนเพื่อขายสินค้าตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 8)ฯ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ของ บริษัทฯ เกิดขึ้นเมื่อตัวแทนส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ ตามมาตรา 78(3) แห่งประมวลรัษฎากร
3. กรณีบริษัทฯ ส่งมอบรถยนต์ให้แก่อู่ต่อรถยนต์ หากการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า
(1) บริษัทฯ นำรถยนต์ไปเก็บไว้ ณ อู่ต่อรถยนต์ เพื่อว่าจ้างอู่ต่อรถยนต์ต่อเติมรถยนต์
สำหรับนำไปขายต่อไป กรณีดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1(8) แห่ง
ประมวลรัษฎากร แต่ต้องให้บริษัทฯ หมายเหตุไว้ในรายงานสินค้าและวัตถุดิบด้วย เพื่อใช้เป็นหลักฐานใน
การตรวจสอบมูลค่าขายต่อไป
(2) บริษัทฯ นำรถยนต์ไปเก็บไว้ ณ อู่ต่อรถยนต์เพื่อฝากขาย เข้าลักษณะเป็นการส่งมอบ
สินค้าให้ตัวแทนเพื่อขาย ซึ่งถือเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1(8)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อความรับผิดในการเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 78(1) แห่งประมวลรัษฎากร และ บริษัทฯ มีหน้าที่ต้อง
จัดทำใบกำกับภาษีในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ตามมาตรา 86 แห่ง
ประมวลรัษฎากร เว้นแต่บริษัทฯ ทำสัญญาแต่งตั้งให้อู่ต่อรถยนต์เป็นตัวแทนเพื่อขายสินค้าตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ 8)ฯ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2534 ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ เกิดขึ้น
เมื่อตัวแทนส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ ตามมาตรา 78(3) แห่งประมวลรัษฎากร
4. กรณีรถยนต์จำนวน 20 คัน ที่ตรวจนับไม่พบ และมิได้เก็บไว้ ณ บริษัทในเครือและอู่ต่อ
รถยนต์ ซึ่งบริษัทฯ แจ้งว่ามิได้ขาย โดยบริษัทฯ นำหนังสือแจ้งการจำหน่ายและ หลักฐานการส่งบัญชี
จำหน่ายรถยนต์มาแสดงว่าเป็นของบริษัท ฮ. บริษัท เอ็ม และบริษัท ค. หากการไต่สวนข้อเท็จจริง
ปรากฏว่า บริษัททั้งสามรายดังกล่าวมีหลักฐานสำเนาใบกำกับสินค้าของ รถยนต์ที่ขาดหายไปตรงตามที่
ระบุในหนังสือแจ้งการจำหน่ายและหลักฐานการส่งบัญชีจำหน่าย รถยนต์ของบริษัทฯ ถือว่าบริษัทฯ
จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ให้แก่บริษัททั้งสามราย ซึ่งเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1(8) แห่ง
ประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร
เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 78(1) แห่งประมวลรัษฎากร และบริษัทฯ มี
หน้าที่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 86 แห่ง
ประมวลรัษฎากร เว้นแต่บริษัทฯ ทำสัญญาแต่งตั้งให้บริษัททั้งสามดังกล่าวเป็นตัวแทนเพื่อขายสินค้าตาม
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 8)ฯ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2534 ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของ
บริษัทฯ เกิดขึ้นเมื่อตัวแทนส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อตามมาตรา 78(3) แห่งประมวลรัษฎากร
5. กรณีตาม 4. หากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า บริษัททั้งสามรายดังกล่าวไม่มีหลักฐานใบ
กำกับสินค้าของรถยนต์ที่ขาดหายไปตามที่ระบุในหนังสือแจ้งจำหน่ายและหลักฐานการส่งบัญชีจำหน่าย
รถยนต์ของบริษัทฯ ซึ่งแสดงว่าบริษัทฯ มิได้ขายรถยนต์ให้แก่บริษัททั้งสามรายแต่อย่างใด กรณีถือว่าบริษัท
ฯ มีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ถือเป็นการขายตามมาตรา 77/1(8)(จ) แห่ง
ประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น
เมื่อมีการตรวจพบตามมาตรา 78/3 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 8 ของกฎกระทรวง
ฉบับที่ 189 (พ.ศ. 2534)ฯ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่ต้อง
จัดทำใบกำกับภาษีแต่อย่างใด ตามข้อ 2(3) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.86/2542 ฯ ลงวันที่ 19
กรกฎาคม พ.ศ. 2542 แต่ต้องจัดทำเอกสารประกอบการลงรายงานภาษีขาย โดยเอกสารดังกล่าวต้อง
มีปริมาณและมูลค่าสินค้าเพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ ตามข้อ 7(6) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89)ฯ ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2542
6. หนังสือชุดแจ้งจำหน่ายและการรับรองหลักฐานการส่งบัญชีและจำหน่ายรถยนต์ที่บริษัทฯ นำ
มาแสดงเป็นหลักฐานว่ายังไม่ได้ขายรถยนต์ให้แก่บริษัทผู้ซื้อ มิใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือ
สิทธิครอบครองรถยนต์ แต่บริษัทฯ สามารถนำเอกสารดังกล่าวมาพิสูจน์เพื่อแสดงว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอน
ได้ เนื่องจากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้นจะยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไข
ทั้งนี้ ตามมาตรา 458 และมาตรา 459 แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ แต่เนื่องจากความรับผิด
ในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าเกิดขึ้นเมื่อมีการส่งมอบสินค้าตามมาตรา 78 แห่ง
ประมวลรัษฎากร ดังนั้น ไม่ว่าหนังสือชุดแจ้งจำหน่ายและหลักฐานการส่งบัญชีและจำหน่ายรถยนต์ของ
บริษัทฯ สามารถเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของบริษัทฯ อยู่หรือไม่นั้น หากบริษัทฯ
ได้ส่งมอบรถยนต์ให้กับบริษัทผู้ซื้อแล้ว ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมเกิดขึ้นตามมาตรา 78
แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

: 65/31243


clear-gif

WCAG 2.0 (Level AA)

Last update :
 Friday, May 22, 2020

 
รูปมุมซ้าย
หน้าหลักรูปเส้นประEnglishรูปเส้นประแผนผังเว็บไซต์รูปเส้นประแนะนำเว็บไซต์รูปเส้นประติดต่อกรมสรรพากรรูปเส้นประ


 
สงวนลิขสิทธิ์โดยกรมสรรพากร : Website Policy : Privacy Policy : Website Security Policy : Disclaimer
 
กรมสรรพากร 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 1161