ข้อหารือ |
๑. บริษัทฯ ประกอบกิจการให้บริการทางบัญชี จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ เมื่อปี ๒๕๕๔ บริษัทฯ บันทึกบัญชีรับรู้รายได้และรายจ่ายตามเกณฑ์คงค้างและเกณฑ์สิทธิ์เพื่อการคำนวณกำไรสุทธิ เมื่อปี ๒๕๕๔ บริษัทฯ บันทึกรายได้จากการให้บริการทางบัญชีเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๗๐,๘๕๐ บาท แต่บริษัทฯ
ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้เป็นเงินจำนวน ๖๒,๐๐๐ บาท จึงบันทึกบัญชีตั้งค้างไว้ และปี ๒๕๕๕ บริษัทฯ บันทึกรายได้จากการให้บริการทางบัญชีเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๒๕๐,๓๒๐ บาท ไม่สามารถเรียกเก็บจากลูกค้าได้เป็นเงินจำนวน ๙๖,๐๐๐ บาท บริษัทฯ บันทึกบัญชีตั้งค้างไว้ บริษัทฯ มีรายรับในปี ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ ในแต่ละปีไม่เกิน ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท
๒. ต่อมาในปี ๒๕๕๖ บริษัทฯ มีรายรับจากการให้บริการทางบัญชีเป็นเงิน ๑,๗๙๐,๒๐๐ บาท ได้รับชำระหนี้ค้างชำระของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๖๒,๐๐๐ บาท และของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๙๖,๐๐๐ บาท บริษัทฯ จึงมีรายรับในปี ๒๕๕๖ เกินกว่า ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท แต่บริษัทฯ ไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากบริษัทฯ เข้าใจว่าผู้ประกอบการมีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อมีรายได้เกิน ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๔๓๒) พ.ศ. ๒๕๔๘ นั้น คำว่า ปี พิจารณาจากรอบระยะเวลาบัญชีของนิติบุคคลที่ได้บันทึกบัญชีหนี้ค้างชำระในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ ซึ่งได้ลงบันทึกบัญชีแล้ว ไม่ใช่รายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๖ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีรายได้ในปี ๒๕๕๖ ไม่เกิน ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท บริษัทฯ จึงไม่ต้อง
จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด จึงหารือว่า ความเห็นดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
|
แนววินิจฉัย |
กรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการให้บริการทางบัญชีเข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถือเป็นการให้บริการตามมาตรา ๗๗/๑ (๑๐) แห่งประมวลรัษฎากร ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระค่าบริการ เว้นแต่ได้มีการออกใบกำกับภาษีหรือได้ใช้บริการไม่ว่าโดยตนเองหรือบุคคลอื่นก่อนได้รับชำระราคาค่าบริการ ก็ให้ความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อได้มีการกระทำนั้น ๆ ด้วยตามมาตรา ๗๘/๑ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัทฯ มีการให้บริการทางบัญชีในปี ๒๕๕๔ และปี ๒๕๕๕ แต่บริษัทฯ ได้รับชำระค่าบริการดังกล่าวในปี ๒๕๕๖ รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑๕๘,๐๐๐ บาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายรับที่เกิดจากการให้บริการในปี ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๗๙๐,๒๐๐ บาทแล้ว ทำให้บริษัทฯ มีรายรับในปี ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๙๔๘,๒๐๐ บาท ซึ่งเกินกว่า ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมตามมาตรา ๘๑/๑ แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ ๔๓๒) พ.ศ. ๒๕๔๘ บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๗๗/๒ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร และต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๕/๑ แห่งประมวลรัษฎากร
|