เลขที่หนังสือ |
: กค ๐๗๐๒/พ./๖๙๗๐ |
วันที่ |
: ๗ กันยายน ๒๕๖๑ |
เรื่อง |
: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการเฉลี่ยภาษีซื้อ ราย บริษัท ซีคอน บางแค จำกัด |
ข้อกฎหมาย |
: ข้อ ๒ (๓) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๙) ลงวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ |
ข้อหารือ |
๑.บริษัท ก. จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๓๓
๒. บริษัทฯ มีรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ของทุกปี จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๕ ประกอบกิจการเกี่ยวกับการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า ให้เช่าพื้นที่และ/หรือให้บริการระบบสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาและปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปีของกิจการทั้งสองประเภท ตามข้อ ๒ (๒) และข้อ ๒ (๓) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๙) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามมาตรา ๘๒/๖ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
๓. สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ บริษัทฯ เฉลี่ยภาษีซื้อ ดังนี้
ม.ค. ๒๕๕๘ ธ.ค. ๒๕๕๘ รายได้จากกิจการ
VAT รายได้จากกิจการ Non-VAT VAT Total
รายได้ ๕๓๔,๔๔๔,๑๓๘.๑๒ ๙๓,๕๖๔,๐๗๓.๖๕ ๖๒๘,๐๐๘,๒๑๑.๗๗
ร้อยละ ๘๕.๑๐ ๑๔.๙๐ ๑๐๐.๐๐
เห็นได้ว่า บริษัทฯ เฉลี่ยภาษีซื้อตามอัตราส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริง (๕๓๔,๔๔๔,๑๓๘.๑๒ * ๑,๒๐๔,๓๒๒.๒๙/ ๖๒๘,๐๐๘,๒๑๑.๗๗ = ๑,๐๒๔,๘๙๕.๘๑ บาท แต่จากการคำนวณเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของกิจการของรอบระยะเวลาบัญชี ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑,๐๕๑,๖๔๑.๐๖ บาท ดังนั้น การคำนวณเฉลี่ยภาษีซื้อตามวิธีการดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๘ จึงน้อยกว่ารอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๗ ซึ่งบริษัทฯ ได้ยื่นแบบ ภ.พ.๓๐.๒ เพื่อปรับปรุงเฉลี่ยภาษีซื้อจำนวน ๒๖,๗๔๕.๒๕ บาทเนื่องจากการเปลี่ยนฐานรายได้ในการคำนวณภาษีตามวิธีการดังกล่าว ทำให้อัตราส่วนการเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และในส่วนที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คืออัตราส่วน ๘๓.๗๒ : ๑๒.๖๘ และ ๘๕.๑๐ : ๑๔.๙๐ ตามลำดับ ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระในการคำนวณภาษีและการยื่นแบบปรับปรุงเฉลี่ยภาษีซื้อ บริษัทฯ จึงได้ขออนุมัติให้เปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเฉลี่ยภาษีซื้อจากเดิมให้เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาและปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปีของกิจการทั้งสองประเภท เป็นเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา โดยไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปีของกิจการทั้งสองประเภท ตามข้อ ๒ (๒) และข้อ ๒ (๓) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๙)ฯ ลงวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
|
แนววินิจฉัย |
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการและมีรายได้ของปีที่ผ่านมาแล้ว หากมีภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือบริการซึ่งได้นำไปใช้ในกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นภาษีซื้อของกิจการใด ผู้ประกอบการจะต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในข้อ ๒ (๓) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๙)ฯ ลงวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ กล่าวคือ ผู้ประกอบการจะต้องเฉลี่ยภาษีซื้อของสินค้าหรือบริการตามส่วนของรายได้ของแต่ละกิจการ โดยมีสิทธิเลือกเฉลี่ยภาษีซื้อได้ ๒ วิธี คือ
๑. เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และขอคืนภาษีซื้อตามที่ได้เฉลี่ยไว้ โดยไม่ต้องทำการปรับปรุงภาษีซื้อภายหลังอีก
๒. เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการทั้งสองประเภท และเมื่อสิ้นปีให้ผู้ประกอบการทำการปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปีของกิจการทั้งสองประเภท
กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัทฯ ประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเลือกวิธีเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของแต่ละกิจการของปีที่ผ่านมา และปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงของกิจการทั้งสองประเภท แต่เนื่องจากการเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของกิจการของรอบระยะเวลาบัญชี ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ มากกว่าการเฉลี่ยภาษีซื้อตามที่เกิดขึ้นจริงในรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๘ บริษัทฯ จึงต้องยื่นแบบ ภ.พ.๓๐.๒ ปรับปรุงเฉลี่ยภาษีซื้อจำนวน ๒๖,๗๔๕.๒๕ บาท ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอัตราส่วนการเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และในส่วนที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คือ อัตราส่วน ๘๓.๗๒ : ๑๒.๖๘ และ ๘๕.๑๐ : ๑๔.๙๐ ตามลำดับ ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระในการคำนวณภาษีของบริษัทฯ ในการยื่นแบบปรับปรุงเฉลี่ยภาษีซื้อ จึงเห็นควรอนุมัติให้บริษัทฯ เฉลี่ยภาษีซื้อด้วยวิธีเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา โดยไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้ออีก ตามหลักเกณฑ์ ข้อ ๒ (๓) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๙)ฯ ลงวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
|
เลขตู้ |
: ๘๑/๔๐๗๙๔ |