อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
และรัฐบาลแห่งประเทศโรมาเนีย
การเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งประเทศโรมาเนีย
มีความปราถนาที่จะจัดทำความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้
ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้
ข้อ 1
ขอบข่ายด้านบุคคล
อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือทั้งสองรัฐ
ข้อ 2
ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย
1. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับกับภาษีเงินได้ที่บังคับจัดเก็บในนามของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ
2. ภาษีทั้งปวงที่บังคับจัดเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบของเงินได้ รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์และภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้าง หรือเงินเดือนทั้งสิ้น ซึ่งวิสาหกิจเป็นผู้จ่ายตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุน ให้ถือว่าเป็นภาษีเก็บจากเงินได้
3. ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งอนุสัญญานี้จะใช้บังคับได้แก่
(ก) ในกรณีของประเทศไทย
(1) ภาษีเงินได้ และ
(2) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
(ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")
(ข) ในกรณีของประเทศโรมาเนีย
(1) ภาษีเก็บจากเงินได้ที่ได้มาโดยบุคคลธรรมดา
(2) ภาษีเก็บจากกำไร
(3) ภาษีเก็บจากเงินเดือน และค่าตอบแทนอื่นที่คล้ายคลึง
(4) ภาษีเก็บจากเงินได้จากเกษตรกรรม
(5) ภาษีเก็บจากเงินปันผล
(ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "ภาษีโรมาเนีย")
4. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีเงินได้ใด ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญซึ่งบังคับจัดเก็บภายหลังจากวันที่ลงนามในอนุสัญญานี้ เป็นการเพิ่มเติมหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะแจ้งแก่กันและกันให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่สำคัญ ซึ่งมีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ
ข้อ 3
บทนิยามทั่วไป
1. ในอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
(ก) คำว่า "ประเทศโรมาเนีย" หมายถึง ประเทศโรมาเนีย และใช้ในความหมายทางภูมิศาสตร์แสดงถึง อาณาเขตของประเทศโรมาเนียรวมถึง น่านน้ำอาณาเขตเช่นเดียวกับเขตผูกขาดทางเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศโรมาเนียมีอำนาจอธิปไตย สิทธิแห่งอธิปไตยและอำนาจ ศาลตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมาย ภายใน เกี่ยวกับการสำรวจและการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ ทางชีววิทยาและ แหล่งแร่ ที่มีอยู่ในน่านน้ำเหล่านั้น
(ข) คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทย และรวมถึงพื้นที่ใดๆ ซึ่งประชิดกับน่านน้ำอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย ซึ่งตามกฎหมายไทยและ ตามกฎหมายระหว่างประเทศได้กำหนดหรืออาจกำหนดในภายหลังให้เป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้พื้นท้องทะเล และทรัพยากรธรรมชาติของพื้นดินท้องทะเลและดินใต้พื้นท้องทะเล
(ค) คำว่า" รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง ประเทศไทยหรือประเทศโรมาเนีย แล้วแต่บริบทจะกำหนด
(ง) คำว่า "บุคคล" รวมถึง บุคคลธรรมดา กองมรดก บริษัท และคณะบุคคลอื่นใด ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษี
(จ) คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคลใด รวมทั้งบริษัทร่วมหุ้น ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย โรมาเนีย หรือหน่วยใดซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายภาษีของรัฐ ผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ
(ฉ) คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีก รัฐหนึ่ง" หมายถึง วิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้สัญญารัฐหนึ่ง และวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งตามลำดับ
(ช) คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายถึง
(1) ในกรณีของประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ
(2) ในกรณีของประเทศโรมาเนีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ
(ซ) คำว่า "คนชาติ" หมายถึง
(1) ในกรณีเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย บุคคลธรรมดาใด ๆ ที่มีสัญชาติไทย นิติบุคคลใดๆ ห้างหุ้นส่วน สมาคม และหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับสถานภาพของตนเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศไทย
(2) ในกรณีเกี่ยวเนื่องกับประเทศโรมาเนีย(บุคคลธรรมดา)พลเมืองใด ๆ ของโรมาเนียและนิติบุคคลและสมาคมที่ได้รับสถานภาพของตนเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศโรมาเนีย
(ณ) คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใดๆโดยทางเรือหรือทางอากาศยาน ซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นในกรณีที่เรือหรืออากาศยานนั้นดำเนินการระหว่างสถานที่ต่าง ๆ ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเท่านั้น
2. ในการใช้บังคับอนุสัญญานี้โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใด ๆ ที่มิได้นิยามไว้ในอนุสัญญานี้ให้มีความหมายซึ่งคำนั้นมีอยู่ตามกฎหมายของรัฐนั้น ซึ่งเกี่ยวกับภาษีที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ข้อ 4
ผู้มีถิ่นที่อยู่
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง บุคคลใด ๆ ผู้ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่เสียภาษีในรัฐนั้นโดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจัดการ สถานจดทะเบียนบริษัท หรือ โดยเหตุอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
2. โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาใด เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้กำหนดสถานภาพของบุคคลดังกล่าวดังต่อไปนี้
(ก) ให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีที่อยู่ถาวรถ้าบุคคลธรรมดานั้น มีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัว และทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)
(ข) ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งบุคคลนั้นมีศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญได้ หรือถ้าบุคคลธรรมดานั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย
(ค) ถ้าบุคคลธรรมดานั้นมีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือไม่มีอยู่เลยในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนเป็นคนชาติ
(ง) ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือมิได้เป็นคนชาติของรัฐหนึ่งรัฐใด เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองจะแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
3. โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บริษัทหนึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ จะถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่บริษัทใดจดทะเบียนก่อตั้งขึ้นหรือได้รับสถานภาพเป็นบริษัทตามกฎหมายของรัฐนั้น ถ้าตามหลักเกณฑ์เช่นว่านี้บริษัทนั้นยังคงเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐอยู่อีก จะถือว่า บริษัทนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่บริษัทนั้นมีสถานจัดการใหญ่ตั้งอยู่
ข้อ 5
สถานประกอบการถาวร
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
2. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะรวมถึง
(ก) สถานจัดการ
(ข) สาขา
(ค) สำนักงาน
(ง) โรงงาน
(จ) โรงช่าง
(ฉ) เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นใดที่ใช้ในการ ขุดหาทรัพยากรธรรมชาติ
(ช) ที่ตั้งอาคาร โครงการก่อสร้าง ในกรณีซึ่งที่ตั้งหรือโครงการได้มีติดต่อกันในช่วงระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือน)
(ฎ) โครงการประกอบหรือโครงการติดตั้งซึ่งดำเนินติดต่อกันในช่วงระยะเวลา เกินกว่า 6 เดือน
(ฌ) สถานที่ใช้เป็นประโยชน์เพื่อการขายสินค้า
(ฏ) คลังสินค้าในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการเก็บรักษาสินค้าสำหรับบุคคล
อื่น
(ฐ) การจัดให้มีการบริการรวมตลอดถึงบริการให้คำปรึกษาโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง โดยผ่านลูกจ้างหรือบุคคลอื่น หากกิจกรรมเช่นว่านั้น ดำเนินติดต่อกัน(สำหรับโครงการเดียวกันหรือต่อเนื่องกัน)ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ภายในระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันเกินกว่า 183 วัน
3. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" จะไม่ถือว่ารวมถึง
(ก) การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา การจัดแสดงหรือการส่งมอบสินค้า หรือสิ่งของที่เป็นของวิสาหกิจนั้น
(ข) การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษาหรือการจัดแสดง หรือส่งมอบ
(ค) การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจเพียง เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งการแปรรูปโดยวิสาหกิจหนึ่ง
(ง) สินค้าหรือสิ่งของ ซึ่งเป็นของวิสาหกิจที่ได้นำมาแสดงในงานแสดงหรือประกวดซึ่งจัดโดยภาครัฐบาลของประเทศเจ้าภาพเป็นครั้งคราวที่ได้ขายไปภายหลังปิดงานแสดงหรือประกวดดังกล่าว
(จ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการจัดซื้อสิ่งของหรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศให้กับวิสาหกิจนั้น
(ฉ) การมีสถานธุรกิจประจำเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา การให้ข้อสนเทศ การดำเนินการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือกิจกรรมอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกันซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบให้กับวิสาหกิจนั้น
4. แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และวรรค 2 กรณีบุคคลนอกเหนือจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 5 ได้กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญา ที่กล่าวถึงรัฐแรก ถ้าบุคคลเช่นว่านั้น
(ก) มีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามของ วิสาหกิจนั้นเว้นไว้แต่ว่าการกระทำต่างๆของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อสิ่งของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น
(ข) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งมูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น และดำเนิการตามคำสั่งซึ่งหรือส่งมอบในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ หรือ
(ค) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้จัดหาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก ซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้น ๆ หรือวิสาหกิจ อื่นซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือ มีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
5. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น เพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางนายหน้าตัวแทนการค้าทั่วๆ ไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระในกรณีที่บุคคลเช่นว่านั้นกระทำการตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน เพื่อความมุ่งประสงค์นี้ จะไม่ถือว่าตัวแทน เป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ เข้าดำเนินกิจกรรมในอีกรัฐหนึ่งนั้น ตามลักษณะในวรรค 4 เป็นสำคัญ เพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้น และวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
6. ข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควบคุมหรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งหรือซึ่งประกอบธุรกิจในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม)มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง
7. แม้จะมีบทบัญญัติในวรรคก่อนๆ ของข้อนี้อยู่ วิสาหกิจที่ประกอบกิจกรรมรับประกันภัยของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้าวิสาหกิจนั้นเรียกเก็บเบี้ยประกันในอาณาเขตของรัฐอีกรัฐหนึ่ง หรือประกันการเสี่ยงภัยที่มีอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางลูกจ้าง หรือผ่านทางตัวแทน ซึ่งมิได้มีสถานะเป็นอิสระตามความหมายที่ปรากฏในวรรค 5 

|