1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีภาระภาษีของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ
กรณีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเข้ามาทำงานเป็นผู้บริหารด้านการตลาดทางธุรกิจน้ำมันในประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร หากบริษัทฯ จำกัด เป็นผู้จ่ายเงินได้ดังกล่าว
บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร
อย่างไรก็ดี หากผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย กรณีจำต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขการจัดเก็บภาษีตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าวด้วย
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท K จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของเจอร์ซี (Jersey) ได้จัดส่งบุคลากรให้เข้ามาทำงานให้บริษัทฯ ในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่บุคลากรดังกล่าวและต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ บริษัท K อีกร้อยละ 5 ของจำนวนเงินเดือนบุคลากร กรณีจึงเข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร บริษัท K จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยบุคลากรที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นเสียภาษี
เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินได้ดังกล่าวออกไปให้กับบริษัท K จึงมีหน้าที่ต้องหักและ
นำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 5.0 ของเงินได้ตามข้อ 12 ของคำสั่งกรมสรรพากร
ที่ ท.ป.4/2528ฯ
เนื่องจากเจอร์ซี่ (Jersey) ไม่อยู่ในคำนิยามของคำว่า สหราชอาณาจักร ตามข้อ 3 วรรค 1 (ก) แห่งอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการหลีกเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่เก็บจากเงินได้ และประเทศไทยก็ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับเจอร์ซี่ กรณีจึง
ไม่มีประเด็นการยกเว้นตามอนุสัญญาภาษีซ้อนต้องพิจารณาแต่อย่างใด
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
การให้บริการของบริษัท K เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการ ซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าบริการตามสัญญาออกไปให้กับบริษัท K จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของค่าบริการ ตามมาตรา 83/6(1) แห่งประมวลรัษฎากร
|