ข้อหารือ | : 1. บริษัท บ. ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ให้แก่กรรมการบริหารของบริษัทฯ โดยไม่มีค่าตอบแทน แต่มีกำหนดเวลาการสิ้นสุดของใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ 2. นาย ช. ในฐานะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้รับเงินได้จากตำแหน่งงานที่ทำจากการเป็นกรรมการดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯ ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้ดังกล่าวตามแบบ ภ.ง.ด. 1 และ ภ.ง.ด. 1 ก และได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิจากบริษัทฯ ต่อมานาย ช. ได้นำใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวไปแปลงเป็นหุ้นสามัญ โดยนาย ช. ได้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นตามราคาที่กำหนดในใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งในขณะนั้นต่ำกว่าราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทฯ ได้นำผลต่างของราคาดังกล่าว จำนวนเงิน 1,277,482.88 บาท มาคำนวณเป็นเงินได้ของนาย ช. ซึ่งบริษัทฯ ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายประจำเดือนภาษีมีนาคม 2548 และนำส่งกรมสรรพากรตามแบบ ภ.ง.ด. 1 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548 เป็นจำนวนเงิน 196,244.86 บาท ซึ่งนาย ช. ได้นำเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย จำนวน 196,244.86 บาท มาถือเป็นเครดิตในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อขอคืนภาษี แต่มิได้นำเงินได้จำนวน 1,277,482.88 บาท มารวมคำนวณในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย 3. นาย ช. ไม่ได้เป็นพนักงานหรือผู้บริหารซึ่งได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างใด ๆ จากบริษัทฯ และสำหรับการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ นาย ช. ได้รับสิทธิในการซื้อหุ้นแปลงเป็นหุ้นโดยจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นตามราคาที่กำหนดในใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งขณะนั้นต่ำกว่าราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทฯ ถือว่า ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อตามใบสำคัญแสดงสิทธิกับราคาตลาดเป็นกำไรจึงได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ซึ่งที่จริง ผู้มีสิทธิจะมีกำไรหรือไม่ต่อเมื่อได้ขายหุ้นสามัญแล้ว ฉะนั้น เมื่อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และมีกำไร จึงถือเป็นกำไรอีกครั้งหนึ่ง นาย ช. มีหน้าที่ต้องนำเงินได้จำนวน 1,277,482.88 บาท มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2548 หรือไม่ อย่างไร และบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ อย่างไร |