ข้อหารือ | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการแปลงรายการดอกเบี้ยและค่าที่ปรึกษาค้างชำระเป็นรายการเงินต้นกู้ยืมใหม่ราย บริษัท อ. โดยมีข้อเท็จจริง ดังนี้ 1. ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2546 พบว่า บริษัท อ. กู้ยืมเงินจากบริษัท ด.ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นจำนวนเงิน 186,948,042.38 บาท โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5.0 ต่อปี บริษัทฯ จึงมีรายจ่ายค่าดอกเบี้ยเป็นจำนวน 9,442,519.64 บาท นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีรายจ่ายค่าที่ปรึกษาแนะนำทางการผลิตอีกเป็นจำนวน 2,325,971.61 บาท บริษัทฯ ยังมิได้จ่ายรายจ่ายจำนวนดังกล่าวแก่บริษัท ด. แต่ได้บันทึกรายจ่ายค้างชำระไว้ในบัญชีเจ้าหนี้และเงินกู้ยืมเป็นจำนวน 11,768,491.25 บาท และในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2547 บริษัทฯ ได้นำรายการค้างจ่ายจำนวน 11,768,491.25 บาท มาแปลงเป็นรายการเงินกู้ยืมรวมกับรายการเงินกู้ยืมเดิม รวมเป็นต้นเงินกู้ยืมใหม่เป็นจำนวน 198,716,533.63 บาท และบริษัทฯ มีรายจ่ายดอกเบี้ยที่คำนวณจากต้นเงินกู้ยืมใหม่อีกเป็นจำนวน 9,935,826.68 บาท บริษัทฯ ยังมิได้ชำระดอกเบี้ยดังกล่าว และได้นำดอกเบี้ยค้างชำระมาแปลงเป็นรายการเจ้าหนี้เงินกู้อีก ดังนั้น ในวันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทฯ มีต้นเงินกู้ยืมรวมเป็นเงินทั้งสิ้นเป็นจำนวน 208,652,360.31 บาท 2. กรณีบริษัทฯ ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินขึ้นใหม่โดยการแปลงดอกเบี้ยเงินกู้เป็นต้นเงินกู้ย่อมถือได้ว่า เจ้าหนี้เงินกู้ในต่างประเทศได้รับชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมแล้ว บริษัทผู้จ่ายเงินจึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบริษัท ฯ ยินยอมชำระภาษีโดยยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 นำส่งภาษีเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2548 แยกเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้รอบระยะเวลาบัญชีปี 2546 จำนวน 9,442,519.64 บาท หักภาษีเงินได้นำส่งจำนวน 1,416,377.95 บาท เงินเพิ่มจำนวน 509,896.62 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,926,274.57 บาท ดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2547 จำนวน 9,935,826.65 บาท หักภาษีเงินได้นำส่ง 1,490,374.99 บาท เงินเพิ่มจำนวน 268,267.49 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,758,642.48 บาท ส่วนค่าที่ปรึกษาที่ต้องจ่ายให้บริษัท ด. จะขอหารือกรมสรรพากรก่อน |