1. บริษัทฯ ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นในเดือนมกราคม 2532 ได้เข้ามารับสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทยในวันที่ 12 กรกฎาคม 2532 โดยเข้าร่วมเป็นบริษัทผู้มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานปิโตรเลียม (บริษัทฯ จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการปิโตรเลียมตามสัมปทานแปลงดังกล่าวเท่านั้น)
2. การเข้าร่วมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัมปทานแปลงดังกล่าว มีสัดส่วนและบริษัทที่เข้าร่วมดังนี้
- บริษัท ก. ร้อยละ 5
- บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 45
- บริษัท B ร้อยละ 35
- บริษัท Amarada Hess (Thailand) ร้อยละ 15
3. เนื่องจากบริษัทฯ มีส่วนได้เสียในสัมปทานแปลงดังกล่าวเพียงร้อยละ 5 และโดยที่บริษัทฯ มิได้เป็น ผู้ดำเนินงาน (Operator) ในสัมปทาน บริษัทฯ จึงมิได้เปิดสำนักงานในประเทศไทยในเบื้องต้น (บริษัทฯ เข้ามาเปิดสำนักงานในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มมีรายได้จากสัมปทาน) และบริษัทฯ เห็นว่า การจ้างให้ผู้อื่นเป็นผู้ทำหน้าที่บริหารงานและจัดการจะประหยัดและคุ้มค่าใช้จ่ายมากกว่าที่จะจ้างพนักงานและบุคลากรเป็นของตนเองเพื่อการบริหารและจัดการ
4. ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในเดือนพฤษภาคม 2533 บริษัทฯ (โดยสำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น) จึงได้ทำสัญญาจ้างบริหาร (Administrative Service Agreement) กับบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้บริษัท A ให้บริการเกี่ยวกับการจัดการและการบริหารที่จำเป็นโดยตามสัญญาดังกล่าว บริษัท A จะต้องให้บริการดังต่อไปนี้
4.1 บริการด้านวางแผนและบริหาร (Corporate Planning & Administration Division)
4.2 บริการด้านการเงินและการบัญชี (Finance & Accounting Division)
4.3 บริการด้านโครงการและการลงทุน (Project & New Venture Division)
4.4 บริการด้านสำรวจและผลิต (Exploration & Production Division)
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตกลงที่จะจ่ายค่าบริการให้กับบริษัท A โดยคิดจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงที่บริษัท A ได้จ่ายไปเพื่อการบริหารงานของบริษัทฯ ตาม Memorandum with regard to expense charges
5. นอกจากค่าจ้างบริหารงานดังกล่าวใน 4 บริษัทฯ ยังมีรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการปิโตรเลียมในประเทศไทยอีก 3 รายการดังนี้
5.1 ต้นทุนและค่าใช้จ่ายทางตรงที่เกิดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ ในประเทศญี่ปุ่น
5.2 ค่าธรรมเนียมค้ำประกันที่บริษัทฯ จ่ายให้กับผู้ค้ำประกันเงินกู้ที่บริษัทฯ นำมาใช้ในการประกอบกิจการ ปิโตรเลียม
5.3 ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ ในประเทศญี่ปุ่นดำเนินการจ่ายเงิน Cash Call เพื่อใช้ในการประกอบกิจการ ปิโตรเลียมในสัมปทานแปลงดังกล่าว ให้กับบริษัทผู้ดำเนินงาน ซึ่งได้แก่ บริษัท B โดยในการเรียกเก็บเงิน Cash Call นั้น บริษัท B ได้เรียกเก็บตาม Statement of Account เป็นเงินเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่การเริ่มต้นของสัญญาการดำเนินงาน จนกระทั่งจัดตั้งสำนักงานที่กรุงเทพ ตามที่กำหนดในสัญญา ซึ่งสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ จะแปลงค่าเงินเหรียญดังกล่าวเป็น เงินเยนเพื่อบันทึกบัญชีตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น และหลังจากนั้น สาขาในประเทศไทยจึงจะทำการแปลงค่าเงินเยน เป็นเงินบาทเพื่อบันทึกเป็นรายจ่ายในประเทศไทย กรณีดังกล่าว จึงทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุน (หรือผลกำไร) จากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินเยน และจากเงินเยนเป็นเงินบาท
6. บริษัทฯ ได้หารือว่า รายจ่ายตาม 4. และ 5. ข้างต้น ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่บริษัทฯ มีสิทธินำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมถูกต้องหรือไม่
|