1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กรร่วมขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรใต้พื้นดิน ในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของทั้งสองประเทศในอ่าวไทยตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งมาเลเซีย ว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (ความตกลงฯ)
2. ก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซธรรมชาติเหลว ที่ผลิตได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมหากมีการนำเข้ามาในราชอาณาจักร จะเข้าลักษณะเป็นของส่งออก ตามข้อ 16 (ข)(4) ของความตกลงฯ และตามมาตรา 37 นว (2) แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2496 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2548 ซึ่งกำหนดให้ของที่ผลิตในพื้นที่พัฒนาร่วมที่ส่งเข้ามาในราชอาณาจักรหรือไปยังประเทศมาเลเซียหรือประเทศที่สามให้ถือว่าเป็นของส่งออก ซึ่งจัดเป็นของตามประเภท 8 ภาค 3 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2530 แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2548 และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่ส่งออกไปจากพื้นที่พัฒนาร่วมตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ลงวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2548
3. ในปัจจุบันผู้ประกอบการได้เริ่มส่งก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซธรรมชาติเหลวออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมและเนื่องจากเป็นการยกเว้นอากรตามภาค 3 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2530 การยกเว้นอากรตาม ประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว จึงไม่ครอบคลุมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เกิดปัญหาในทางข้อกฎหมายว่า การส่งออกก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซธรรมชาติเหลวออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมจะอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือไม่ และมีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการที่ส่งก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซธรรมชาติเหลวออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมเข้ามาในราชอาณาจักรหรือไม่ อย่างไร
|