|
|
คำพิพากษาฎีกาที่ 2006/2557 |
|
นางนิตยา ปานจินดา |
โจทก์ |
กรมสรรพากร |
จำเลย |
เรื่อง การคืนเงินภาษีอากร |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 42(17) |
กฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (36) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 195 (พ.ศ.2538) |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 52) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการ สำหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย |
ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151) ลงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2549 และ (ฉบับที่ 158) ลงวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2549 |
นางนิตยาฯ โจทก์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลย กรณีโจทก์เป็นลูกจ้างของ บริษัท ที โอ ที จำกัด (มหาชน) (เดิมคือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) ในปี 2548 บริษัทฯ ประสงค์ให้พนักงานสิ้นกำหนดเวลาการทำงานก่อนครบกำหนดอายุที่ได้กำหนดไว้ตามข้อบังคับของบริษัทฯ ว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ.2536 โดยพนักงานที่ประสงค์จะลาออกตามโครงการดังกล่าวจะถือว่า เป็นการขอลาออกตามปกติ โจทก์ขอลาออกเมื่ออายุ 55 ปี จึงถือได้ว่า โจทก์ออกจากงานเพราะสิ้นกำหนดเวลาทำงาน ตามข้อตกลงตามสัญญาจ้างแรงงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร โจทก์เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่โจทก์ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จึงเป็นเงินได้พึงประเมิน ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(17) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายภายในกำหนดระยะเวลา 3 ปี ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร จำเลยจึงต้องคืนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้แก่โจทก์ เนื่องจากการออกจากงานของโจทก์เป็นการเกษียณอายุ เพราะสิ้นกำหนดเวลาตามข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 52) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สำหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151) ลงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2549 และ (ฉบับที่ 158) ลงวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2549 เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอคืนแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่คืนให้แก่โจทก์ จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
ศาลภาษีอากรกลางพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์และตามที่จำเลยนำสืบแล้ว เห็นว่า บริษัทฯ มีประกาศ เรื่อง โครงการลาออกก่อนเกษียณอายุประจำปี 2548 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 เป็นโครงการที่กำหนดขึ้นเพื่อให้พนักงานที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดและมีความประสงค์จะขอออกจากงานก่อนเกษียณอายุตามปกติ มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในลักษณะเช่นเดียวกันกับกรณีการพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ โครงการดังกล่าวจึงมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเกษียณอายุตามปกติของพนักงาน ซึ่งมีผลเป็นการเฉพาะสำหรับพนักงานที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ และผู้ที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้รับอนุมัติให้ลาออกก็จะมีผลเหมือนเช่นการเกษียณอายุตามปกติของตน จึงเป็นกรณีที่มิใช่เป็นการออกจากงานหรือเลิกจ้างพนักงานคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะกำหนดให้พนักงานต้องยื่นใบลาออกและได้รับอนุมัติให้ลาออกก็เป็นเพียงกระบวนการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในโครงการดังกล่าวเท่านั้น มิใช่เป็นการลาออกจากงานดังเช่นกรณีการออกโดยทั่วไป การออกจากงานหรือพ้นจากตำแหน่งของพนักงาน ตามโครงการลาออกก่อนเกษียณอายุดังกล่าว จึงถือเสมือนเป็นการเกษียณอายุและย่อมได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่พึงมีตามกฎหมาย เช่นเดียวกับกรณีของการเกษียณอายุทั่วไป และย่อมรวมถึงสิทธิประโยชน์ในการได้รับยกเว้นภาษีตามมาตรา 42(17) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (36) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 195 (พ.ศ.2538) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 52) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สำหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 158) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สำหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ลงวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2549 โจทก์จึงมีสิทธิโดยชอบที่จะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามโครงการลาออกก่อนเกษียณอายุของบริษัทฯ เมื่อโจทก์ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ไว้สำหรับเงินได้ดังกล่าว และได้มีการยื่นขอคืนภาษีต่อจำเลยแล้ว การที่จำเลยมีคำสั่งไม่คืนภาษีให้โจทก์จึงไม่ชอบ จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินภาษีพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับดอกเบี้ยคืนภาษีนั้นจะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อปรากฏว่า เงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานซึ่งโจทก์ได้รับมาในปีภาษี 2548 เป็นเงินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42 (17) แห่งประมวลรัษฎากร แต่โจทก์ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549 และยื่นคำร้องขอคืนภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้สำหรับเงินได้ดังกล่าว เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดระยะเวลา 3 ปี ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร จำเลยจึงต้องคืนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอคืนแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่คืนให้แก่โจทก์จึงตกเป็นผู้ผิดนัด จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย ตามมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ที่ได้รับคืนเงินอากร ในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษี จำนวน 213,919.86 บาท โดยไม่คิดทบต้นตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันสิ้นกำหนดระยะเวลายื่นแบบแสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนดคือ นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ลงในหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงิน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ในส่วนของดอกเบี้ยแก้เป็นว่า “พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนภาษีจำนวนดังกล่าวโดยไม่คิดทบต้น นับตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไป จนถึงวันที่อธิบดีกรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงินค่าภาษีอากรที่โจทก์มีสิทธิได้รับคืน แต่ทั้งนี้ ดอกเบี้ยดังกล่าว จะต้องไม่เกินจำนวนเงินดังกล่าวและค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล ให้เป็นพับ |
| |

|
|
Last update : Thursday, August 6, 2015
|
|
|
|