|
|
|
| คำพิพากษาฎีกาที่ 2659/2557 |
|
| นางสาวสุพัตรา ไชยบุญมา |
โจทก์ |
กรมสรรพากร
|
จำเลย |
| เรื่อง การคืนเงินภาษีอากร |
| กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) มาตรา 63 มาตรา 4 ทศ |
| พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7 (3) ประกอบมาตรา 9 |
เงินได้ที่โจทก์ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัท ท. เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้เป็นผลสืบเนื่องมาจากประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับ ภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 52)ฯ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายจากเงินดังกล่าว ซึ่งการขอคืนภาษีเงินได้ที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย และนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่เกินคืนต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมิน ภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป ตามมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร แต่กรณีโจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรภายในกำหนดเวลาตามบทบัญญัติดังกล่าวคือ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ได้ เนื่องจากโจทก์ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในปีภาษี 2548 ก่อนประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151) มีผลใช้บังคับ ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรในวันที่ 19 มีนาคม 2552 หลังจากประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 158) มีผลใช้บังคับไม่เกินสามปี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามมาตรา 7 (3) ประกอบมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528
สำหรับการออกจากงานของโจทก์เป็นไปตามประกาศบริษัท ท. เรื่อง โครงการลาออกก่อนเกษียณอายุ ประจำปี 2548 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินการโครงการลาออกก่อนเกษียณอายุสอดคล้องกับมติคณะกรรมการบริษัท ท. ในการประชุมครั้งที่ 3/2548 วันที่ 26 มกราคม 2548 ที่อนุมัติให้บริษัท ท. ดำเนินโครงการลาออกก่อนเกษียณอายุ ประจำปี 2548 โดยพนักงานต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในประกาศดังกล่าว และต้องยื่นแบบแสดงความจำนง เป็นลายลักษณ์อักษรภายในระยะเวลาที่บริษัทกำหนดต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ซึ่งบริษัท ท. มีคำสั่ง ที่ ต.315/2548 เรื่อง พนักงานลาออกตามโครงการลาออกก่อนเกษียณอายุ อนุญาตให้โจทก์ลาออก ตามโครงการลาออกก่อนเกษียณอายุ แม้ประกาศบริษัทฯ ดังกล่าว จะทำขึ้นภายหลังข้อบังคับองค์การ ท. แต่ประกาศบริษัทฯ ดังกล่าว มีลักษณะเป็นการแก้ไขข้อบังคับองค์การฯ ข้อ 23 ในส่วนที่เกี่ยวกับพนักงานจะต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ ประกาศบริษัทฯ ดังกล่าวจึงเป็นข้อบังคับสภาพการจ้างเกี่ยวกับการเกษียณอายุของพนักงานตามข้อบังคับองค์การฯ กรณีดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ออกจากงานเพราะครบกำหนดหรือสิ้นกำหนดเวลาทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151)ฯ แม้ในข้อบังคับองค์การ ท. จะไม่มีข้อความใดระบุให้โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดเป็นการเกษียณอายุอีกทางหนึ่งหรือมีการแก้ไขข้อบังคับเรื่อง การพ้นสภาพการเป็นพนักงานของบริษัท ท. ก็ตามกรณีของโจทก์จึงมิใช่ออกจากงานเพราะได้รับอนุญาตให้ลาออกตามข้อ 3 ของข้อบังคับขององค์การฯ เมื่อโจทก์มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่โจทก์ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพราะเกษียณอายุจึงได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร (ค.10) ประเภทภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2548 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2552 จึงครบกำหนดระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนภาษีอากร ในวันที่ 19 มิถุนายน 2552 และต้องเริ่มคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ให้วันที่ 20 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไป แต่กฎกระทรวงฉบับที่ 161 (พ.ศ. 2526)ฯ ข้อ 1 วรรคสอง บัญญัติว่า การคิดดอกเบี้ยตามวรรคหนึ่ง ให้คิดจนถึงวันที่ลงในหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงิน...โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากเงินค่าภาษีอากรที่ได้รับคืน นับแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไป จนถึงวันที่อธิบดีกรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงินดังกล่าว แต่มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์มีสิทธิได้รับคืนตามมาตรา 4 ทศ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร |
| |
|
|
Last update : Friday, August 7, 2015 |
|
|
|
|
