| เลขที่หนังสือ |
: ๐๗๐๒/๖๒๗๗ |
วันที่ |
: ๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ |
เรื่อง |
: ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีขอความอนุเคราะห์ให้ความเป็นธรรมในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา |
ข้อกฎหมาย |
: มาตรา ๔๘ (๕) และมาตรา ๕๖ แห่งประมวลรัษฏากร |
ข้อหารือ |
๑. นาย ว. ได้ทำงานที่บริษัท A. เป็นเวลา ๑๐ ปี ๕ เดือน ก่อนถูกเลิกจ้าง เนื่องจาก การปรับปรุงโครงสร้างบริษัทเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยบริษัทฯ จ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายประมาณวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามรอบการจ่ายเงินเดือนของบริษัทฯ และนาย ว. ได้ตัดสินใจปิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้เปิดสะสมไว้กับบริษัทฯ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งบริษัทฯ ได้ยื่นเรื่องปิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกับธนาคารผู้ดูแลกองทุนให้ตามที่ร้องขอ มีผลวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามสถานภาพการเป็นพนักงานของบริษัทฯ(ไม่มีการแยกจ่ายเป็นงวดแต่อย่างใด) โดยธนาคารผู้ดูแลกองทุนได้ดำเนินการตามที่ร้องขอ และจ่ายเงินสมทบในกองทุนกลับคืนมาให้ในเดือนมกราคม ๒๕๖๐ เมื่อนาย ว. ได้ยื่นแบบปีภาษี ๒๕๖๐ ได้รับแจ้งว่า เงินส่วนนี้ไม่สามารถยื่นแบบโดยแยกคำนวณในใบแนบได้อีก เนื่องจาก นาย ว. ได้ยื่นแบบโดยแยกคำนวณในใบแนบไปแล้วสำหรับรายได้ปี ๒๕๕๙ และต้องนำรายได้จากกองทุนทั้งหมดนี้ไปรวมกับรายได้ปกติของปี ๒๕๖๐ ทำให้นาย ว. ได้รับความเดือดร้อนและไม่เป็นธรรม จึงขอร้องทุกข์เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้ความเป็นธรรมเช่นเดียวกับผู้เสียภาษีรายอื่น ๆ ที่เคยประสบปัญหาเช่นเดียวกันที่ผ่านมา โดยได้รับการอนุมัติให้มีการยื่นแบบโดยแยกคำนวณในใบแนบได้สำหรับเงินส่วนที่จ่ายล่าช้าเป็นกรณีพิเศษ เพื่อคำนวณภาษีตามระบบต่อไป
๒. ปีภาษี ๒๕๖๐ นาย ว. ยื่นแบบ ภ.ง.ด.๙๐ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ระบุสถานภาพสมรส คู่สมรสไม่มีเงินได้ แสดงเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร เงินเดือน จำนวน ๑,๑๐๙,๙๕๒.๖๓ บาท หักยกเว้นเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนที่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท มาตรา ๔๐ (๔) ข แห่งประมวลรัษฎากร เงินปันผล จำนวน ๔,๓๓๐.๐๗ บาท เครดิตภาษีเงินปันผล จำนวน ๑,๐๙๑.๖๗ บาท มาตรา ๔๐ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร ค่าเช่า จำนวน ๘,๔๒๑.๐๔ บาท เงินค่าขายหน่วยลงทุนคืนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF จำนวน ๑๓๓,๒๘๘.๑๕ บาท ราคาทุน จำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ผลประโยชน์ (กำไร) จำนวน ๒๓,๒๘๘.๑๕ บาท (ได้รับยกเว้นถือครองตามเงื่อนไข) เครดิตภาษีหัก ณ ที่จ่าย
รวมทั้งสิ้น จำนวน ๓๙,๘๑๔.๓๑ บาท หักลดหย่อนตนเอง จำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท คู่สมรส จำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท บุตร (๑ คน) จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา จำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท ค่าเบี้ยประกันชีวิต จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ จำนวน ๓,๙๓๙ บาท เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ส่วนที่ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม
จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เงินสะสมเข้ากองทุนประกันสังคม จำนวน ๙,๐๐๐ บาท ค่าซื้อสินค้าหรือบริการ จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท และเงินบริจาค จำนวน ๒๒,๖๕๐ บาท ขอคืนภาษีอากรไว้ จำนวน ๓๒,๒๔๖.๓๐ บาท และมีเงินได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จำนวน ๑,๒๖๙,๖๔๒.๖๐ บาท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย จำนวน ๔๙,๙๗๓.๒๐ บาท เลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่น ตามมาตรา ๔๘ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่มีภาษีชำระเพิ่มเติมหรือชำระเกินตามใบแนบ และยังไม่ได้รับคืนเงินภาษีตามคำร้องขอ
๓. จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและการวิเคราะห์แบบฯ ของปีภาษี ๒๕๕๙ พบว่า นาย ว. ทำงานที่บริษัท T. เป็นเวลา ๑๐ ปี ๕ เดือน ได้ถูกเลิกจ้าง ในปีภาษี ๒๕๕๙ เนื่องจาก บริษัทฯ ปรับปรุงโครงสร้างบริษัท เพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานและเงินได้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน และนายวิชนันท์ฯ เลือกเสียภาษีโดยคำนวณใบแนบตามมาตรา ๔๘ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่มีภาษีชำระเพิ่มเติมหรือชำระเกินตามใบแนบ ปรากฏตามการยื่นแบบ ภ.ง.ด.๙๐ ปีภาษี ๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐
๔. ปีภาษี ๒๕๖๐ นาย ว. ยื่นแบบ ภ.ง.ด.๙๐ ขอคืนภาษี จำนวน ๓๒,๒๔๖.๓๐ บาท ตรวจเอกสารหลักฐานพบว่า นาย ว. มีเงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จำนวน ๑,๒๖๙,๖๔๒.๖๐ บาท ได้รับในปีภาษี ๒๕๖๐ และได้เลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น ๆ ตามมาตรา ๔๘ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจาก นาย ว. ได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานและเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ในปี ๒๕๕๙ ได้ใช้สิทธิในการคำนวณใบแนบแล้ว ต่อมาได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในปี ๒๕๖๐ และใช้สิทธินำเงินได้ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาเลือก
เสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่น ตามมาตรา ๔๘ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร อีกครั้งหนึ่ง ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๔๕) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๑) และ (๒) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒ (ข)
๕. นาย ว. แจ้งว่า ได้แจ้งเรื่องปิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ได้ยื่นเรื่องปิดกองทุนไปยังธนาคารผู้ดูแลกองทุน มีผลวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ แต่ได้รับเงินกองทุนคืนเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๖๐ จึงร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม โดยขอใช้สิทธิแยกคำนวณใบแนบสำหรับเงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้รับล่าช้า ในปีภาษี ๒๕๖๐ |
แนววินิจฉัย |
กรณีนาย ว. ได้ทำงานในบริษัทฯ เป็นระยะเวลาเกินกว่า ๕ ปี และได้ถูกบอกเลิกสัญญาจ้าง เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยนาย ว. ได้รับเงินได้พึงประเมินประเภทที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน จำนวน ๒ ครั้ง คือ เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ในปี ๒๕๕๙ และเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ในปี ๒๕๖๐ ถือเป็นกรณีที่มีการจ่ายเงินจากผู้จ่ายรายเดียวกันหลายครั้งไม่ว่าจะแบ่งจ่ายจากเงินประเภทเดียวกันหรือหลายประเภท เมื่อนาย ว. ได้ใช้สิทธิเลือกนำเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานมาเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่นตามมาตรา ๔๘ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี ๒๕๕๙ แล้ว ในการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี ๒๕๖๐ นาย ว. จึงไม่มีสิทธินำเงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ไปเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้อื่น ตามมาตรา ๔๘ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับ ข้อ ๒ (ข) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๔๕)ฯ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนั้น นาย ว. จึงต้องนำเงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ ในปี ๒๕๖๐ ไปรวมคำนวณกับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นที่ได้รับในระหว่างปีภาษีเพื่อยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีตามมาตรา ๕๖ แห่งประมวลรัษฎากร |
เลขตู้ |
: ๘๑/๔๐๗๖๔ |
