ข้อ 21 ศาสตราจารย์ ครู และนักวิจัย
1. บุคคลธรรมดาผู้ซึ่งโดยทันทีหรือก่อนหน้าที่จะไปเยือนรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และเป็นผู้ซึ่งได้ไปเยือนรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกตามคำเชิญของมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรก เป็นเวลาไม่เกินสองปี เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการสอนหรือการวิวิจัย หรือทั้งสองประการ ณ สถาบันการศึกษาเช่นว่านั้น จะได้รับการยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น สำหรับค่าตอบแทนจากการสอนหรือการวิจัยดังกล่าว
2. บทบัญญัติของวรรค 1 จะไม่ใช้บังคับกับเงินได้จากการวิจัย ถ้าการวิจัยเช่นว่านั้นได้ดำเนินการโดยบุคคลธรรมดาเป็นส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ของเอกชนโดยเฉพาะหรือ เอกชนอื่นๆเป็นสำคัญ
ข้อ 22 กิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับการสำรวจขั้นพื้นฐาน การตรวจหรือการแยกไฮโดรคาร์บอน
1. แม้จะมีบทบัญญัติของข้อ 5 และ ข้อ 14 ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการสำรวจขั้นพื้นฐาน การตรวจ หรือ การแยกไฮโดรคาร์บอน ที่มีอยู่ใน รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะถือว่าได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกิจกรรมเช่นว่านั้น ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งผ่านสถานประกอบการถาวรหรือสถานธุรกิจประจำซึ่งตั้งอยู่ในอีกรัฐหนึ่ง นั้น
2. บทบัญญัติของวรรค 1 จะไม่ใช้บังคับในกรณีที่กิจกรรมนั้นได้ดำเนินการเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือหลายระยะเวลารวมกันไม่เกิน 30 วัน ในรอบระยะเวลา 12 เดือนใดๆ อย่างไรก็ดี เพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรคนี้กิจกรรมที่ดำเนินการโดยวิสาหกิจหนึ่ง โดยมีอีกวิสาหกิจหนึ่งในความหมายของข้อ 9 เข้ามาร่วมด้วย จะถือว่า กิจกรรมนั้นได้ดำเนินการโดยวิสาหกิจแรก ถ้ากิจกรรมที่กล่าวถึงส่วนใหญ่เหมือนกับกิจกรรมที่ดำเนินการโดยวิสาหกิจหลัง
3. แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 กิจกรรมการขุดเจาะที่ได้ดำเนินการนอกชายฝั่งทะเลจะถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวร ถ้าเพียงแต่กิจกรรมนั้นได้ดำเนินการเป็นระยะเวลา หนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันเกิน 183 วัน ในรอบระยะเวลา 12 เดือนใดๆ อย่างไรก็ดีเพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรคนี้ กิจกรรมที่ดำเนินการโดยวิสาหกิจหนึ่งโดยมีอีกวิสาหกิจ หนึ่งในความหมายของข้อ 9 เข้ามาร่วมด้วย จะถือว่า กิจกรรมนั้นได้ดำเนินการโดยวิสาหกิจแรก ถ้ากิจกรรมที่กล่าวถึงส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับกิจกรรมที่ดำเนินการโดย วิสาหกิจหลัง
ข้อ 23 เงินได้อื่นๆ
1. บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อบทก่อนๆของอนุสัญญานี้ จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น
2. บทบัญญัติของวรรค 1 จะไม่ใช้บังคับกับเงินได้นอกเหนือจากเงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่บัญญัติไว้ในวรรค 2 ของข้อ 6 ถ้าผู้รับเงินได้ดังกล่าวนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญา รัฐหนึ่ง ดำเนินธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งผ่านทางสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ใน อีกรัฐหนึ่งนั้น หรือดำเนินการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระจากฐานประกอบการประจำ ที่ตั้งอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น และสิทธิหรือทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่ได้จ่ายไปนั้นมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำดังกล่าว ในกรณีเช่นนั้นจะใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี
3. แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 บรรดาเงินได้ของผู้มีเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อบทก่อนๆ ของอนุสัญญานี้ และเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญา อีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
ข้อ 24 การขจัดภาษีซ้อน
1. กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใด จะยังคงใช้บังคับต่อไปในการเก็บภาษี จากเงินได้ในรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ เว้นแต่ในกรณีที่ได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งให้เป็นอย่างอื่นใน อนุสัญญานี้ ในกรณีที่เงินได้ต้องเสียภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้ได้รับการบรรเทาภาระจากการเก็บภาษีซ้อนตามวรรคต่างๆของข้อนี้
2. ในประเทศเดนมาร์ก
(ก) ภายใต้บทบัญญัติของอนุวรรค (ค) ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศเดนมาร์ก
ได้รับเงินได้ ซึ่งอาจเก็บภาษีได้ในประเทศไทยตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้
ประเทศเดนมาร์กจะยอมให้นำภาษีเงินได้จำนวนเท่ากับภาษีเงินได้ที่ได้เสียไว้ใน
ประเทศไทย มาหักออกจากภาษีเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศเดนมาร์ก
(ข) อย่างไรก็ดี การหักเช่นว่านั้นจะต้องไม่เกินกว่าภาษีเดนมาร์ก ซึ่งคำนวณไว้ก่อน
ที่จะยอมให้หักภาษีใดๆซึ่งสอดคล้องกับเงินได้ซึ่งอาจเสียภาษีในประเทศไทย
(ค) ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศเดนมาร์กได้รับเงินได้ซึ่งให้เก็บภาษีเฉพาะในประเทศ
ไทยตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ ประเทศเดนมาร์กอาจนำเงินได้นั้นมารวมคำนวณ
เป็นฐานภาษีแต่จะยอมให้นำภาษีของจำนวนเงินได้ที่ได้รับในประเทศไทยมา
หักออกจากภาษีเงินได้ที่ต้องเสียในประเทศเดนมาร์ก
(ง) ในกรณีให้การยกเว้นหรือลดหย่อนจากภาษีไทยที่พึงชำระตามบทบัญญัติของข้อ 7
ในส่วนที่เกี่ยวกับผลกำไรที่วิสาหกิจเดนมาร์กได้รับจากสถานประกอบการถาวร
ที่ตั้งอยู่ ในประเทศไทยตามกฎหมายไทย เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุวรรค (ก)
และอนุวรรค (ข) จะยอมให้ใช้ภาษีไทยหักออกจากภาษีเดนมาร์กเสมือนไม่มี
การยกเว้นหรือลดหย่อนเช่นว่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่า สถานประกอบการถาวรนั้น
ได้ดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ(ไม่ใช่การประกอบธุรกิจทางด้านการเงิน) และผลกำไร
ดังกล่าวประกอบด้วยผลประโยชน์และผลได้จากการขายหุ้นและพันธบัตรหรือ
ประกอบด้วยผลกำไรที่ได้รับจากประเทศที่สามไม่เกินร้อยละ 25 ของผลกำไรดังกล่าว
(จ) ในกรณีเงินปันผลที่จ่ายโดยบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยให้แก่บุคคล
(ที่เป็นบริษัท) ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศเดนมาร์ก และเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงหรือ
ทางอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นทุนของบริษัทที่กล่าวถึงบริษัทแรก
เงินปันผลนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีในประเทศเดนมาร์ก โดยมีเงื่อนไขว่าบริษัท
ที่จ่ายเงินปันผลจะต้องประกอบกิจกรรมด้านธุรกิจ (ไม่ใช่การประกอบธุรกิจ
ทางด้านการเงิน) และผลกำไรของบริษัทประกอบด้วยผลประโยชน์และผลได้จาก
การขายหุ้นและพันธบัตรหรือประกอบด้วยผลกำไรที่ได้รับจากประเทศที่สาม
ไม่เกินร้อยละ 25 ของผลกำไรดังกล่าว
(ฉ) เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุวรรค (ก) และ (ข) ของวรรคนี้ ในกรณีค่าสิทธิที่จ่ายเป็น
ค่าตอบแทน เพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้าแบบ
หรือหุ่นจำลอง แผนผัง สูตรหรือกรรมวิธีลับใดๆ หรือเพื่อข้อสนเทศเกี่ยวกับ
ประสบการณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมหรือทางวิทยาศาสตร์ และเพื่อการใช้
หรือสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์
ภาษีไทยให้ถือเสมือนว่าได้จ่ายตามอัตราที่กำหนดในวรรค 2 ของข้อ 12 กรณี
ของทรัพย์สินซึ่งค่าสิทธิได้จ่ายเป็นค่าตอบแทนนั้น ได้ถูกใช้ในกิจกรรม
(นอกเหนือจากกิจกรรมธุรกิจด้านการเงิน)ที่ได้ดำเนินการในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม
ภาษีไทยที่ถือเสมือนว่าได้มีการจ่ายนั้นจะไม่เกินกว่าอัตราภาษีที่ใช้บังคับกับค่าสิทธิ
ภายใต้กฎหมายไทย บทบัญญัตินี้จะไม่ใช้บังคับกับค่าสิทธิที่จ่ายระหว่างวิสาหกิจ
ในเครือเดียวกันตามความหมายของข้อ 9 หรือค่าสิทธิที่จ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับสินทรัพย์
ที่ได้ถูกขายไป และได้ถูกเช่าแบบลิสซิ่ง กลับคืนมาโดยบุคคลที่จ่ายค่าสิทธินั้น
(ช) บทบัญญัติของอนุวรรค (ง) - (ฉ) จะใช้บังคับสำหรับระยะเวลา 10 ปีแรก นับแต่
อนุสัญญามีผลบังคับใช้ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะปรึกษาหารือกันเพื่อกำหนดว่า
จะขยายระยะเวลานี้หรือไม่ การขยายกำหนดเวลาใดๆจะมีผลนับตั้งแต่วันนั้น และ
ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงและเงื่อนไข รวมทั้ง เงื่อนไขการยกเลิก ซึ่งอาจจะมี
การกำหนดและตกลงกันระหว่างรัฐผู้ทำสัญญา จะต้องมีการแลกเปลี่ยนหนังสือ
ทางการทูตหรือวิธีการอื่นตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง
3. ในกรณีประเทศไทย ภาษีเดนมาร์กที่จะต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งภายในประเทศเดนมาร์กภายใต้บทบัญญัติของอนุสัญญานี้ จะยอมให้ถือเป็นเครดิตต่อภาษีไทยที่ต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น อย่างไรก็ตาม เครดิตนั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีไทยส่วนที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะให้เครดิตตามจำนวนที่เหมาะสมกับเงินได้รายการนั้น
4. ในกรณีเงินได้ซึ่งได้รับการบรรเทาภาระภาษีเดนมาร์กภายใต้บทบัญญัติในอนุสัญญานี้และภายใต้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศไทยบุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ดังกล่าว โดยระบุถึงจำนวนเงินได้นั้น ซึ่งได้ถูกส่งไปหรือได้รับในประเทศไทยและมิได้ระบุถึงจำนวนเต็มของเงินได้นั้น การบรรเทาภาระดังกล่าวที่จะยอมให้ในประเทศเดนมาร์กภายใต้อนุสัญญานี้จะให้ใช้เฉพาะกับเงินได้ที่ถูกเก็บภาษีในประเทศไทยเท่านั้น
ข้อ 25 การไม่เลือกประติบัติ
1. คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษี อากรใดๆหรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเกี่ยวกับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือไป จากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งคนชาติ ของอีกรัฐหนึ่งโดยเฉพาะผู้มีถิ่นที่อยู่นั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามใน สถานการณ์เดียวกัน แม้จะมีบทบัญญัติของข้อ 1 อยู่ บทบัญญัตินี้จะใช้บังคับแก่บุคคล ผู้ซึ่งมิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐด้วย
2. บุคคลไร้สัญชาติซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดๆหรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเกี่ยวกับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งโดยเฉพาะผู้มีถิ่นที่อยู่นั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน
3. ภาษีอากรที่เก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะต้องไม่เรียกเก็บในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน
4. เว้นแต่ในกรณีบทบัญญัติวรรค 1 ของข้อ 9 วรรค 7 ของข้อ 11 หรือวรรค 6 ของข้อ 12 ใช้บังคับ ดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และการชำระอื่นๆ ที่จ่ายโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการกำหนดกำไรที่พึงเสียภาษีของวิสาหกิจเช่นว่านั้น จะยอมให้หักได้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันเสมือนว่าจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก
5. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งคนเดียวหรือหลายคนเป็นเจ้าของหรือควบคุมทุนทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมจะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกให้ เสียภาษีอากรใดๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการ เก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งวิสาหกิจอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม
6. บทบัญญัติของข้อนี้จะไม่แปลความเป็นการผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งต้องยอมให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งค่าลดหย่อนส่วนบุคคล การบรรเทาภาระและการหักลดใดๆเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษีอันเนื่องมาจากความเป็นพลเมือง หรือความรับผิดชอบทางครอบครัวซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน
7. บทบัญญัติของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะภาษีซึ่งอยู่ในบังคับของอนุสัญญานี้เท่านั้น
|